|
คลังรับลูกคปค.เตรียมปรับเพิ่มจีดีพี
ผู้จัดการรายวัน(28 กันยายน 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
นายสมชัย สัจจพงษ์ รองผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างทบทวนตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจหรือจีดีพีใหม่ ภายหลังที่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) เข้ามาควบคุมสถานการณ์ ทำให้มีการจัดทำงบประมาณปี 2550 มีความชัดเจนและรวดเร็วขึ้น
"ตัวเลขจีดีพีใหม่ของคลังจะอยู่ที่เท่าไหร่ ต้องรอการประเมินสถานการณ์ต่างๆ ก่อน แต่คาดว่าแนวโน้มดีขึ้น และจะมีการประกาศตัวเลขอย่างเป็นทางการก่อนเดือน พ.ย.นี้" นายสมชัยกล่าว
สำหรับประมาณการณ์เดิมของกระทรวงการคลัง คาดว่าจีดีพีปี 2549 อยู่ที่ 4.5% ส่วน ปี 2550 อยู่ที่ร้อยละ 4.25 เมื่อวันที่ 26 ก.ย. ที่ผ่านมา พล.ท.พลางกูร กล้าหาญ โฆษก คปค.กล่าวถึงตัวเลขจีดีพีปีนี้ว่าน่าจะสูงกว่า 4.5% เนื่องจากงบประมาณมีความชัดเจนและช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี สามารถเบิกจ่ายงบประมาณปี 2549 ได้ ก่อนงบฯ ปี 50 จะเริ่มในเดือนมกราคม 2550
"ถ้างบฯปี 50 ยังไม่ผ่านการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎรหรือยังไม่ได้อนุมัติก็สามารถใช้งบฯของปี 49 ซึ่งสำนักงบประมาณก็ได้กำหนดตารางเวลาของกรอบนี้ไว้ ขอยืนยันว่ากรอบเวลาไม่มีข้อสงสัยที่จะเป็นปัญหาแต่ประการใด"
นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ขณะนี้พื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศไทยยังแข็งแกร่ง และหาก คปค.สามารถดำเนินการทุกอย่างได้ตามขั้นตอนที่กำหนด อาทิ การร่างรัฐธรรมนูญชั่วคราว การสรรหาบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวมถึงการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ แล้วเสร็จภายใน 2 สัปดาห์ ก็เชื่อว่าจะส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนที่มีต่อประเทศไทยดีขึ้น เพราะทุกอย่างมีความชัดเจนขึ้น โดยขณะนี้สถานการณ์การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ รวมถึงการเคลื่อนย้ายเงินทุน และอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเป็นปกติ
***รอรัฐบาลใหม่โยกย้ายขรก.คลัง
นายศุภรัตน์เปิดเผยถึงการโยกย้ายข้าราชการระดับซี 10 และซี 11 ของกระทรวงการคลัง ว่า จะต้องรอให้รัฐบาลชุดใหม่เป็นผู้ตัดสินใจ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายที่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(คปค.) ได้ให้ไว้ ส่วนการสรรหาตำแหน่งผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ อาทิ ตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และผู้อำนวยการโรงงานยาสูบ ที่จะหมดวาระสิ้นเดือนกันยายนนี้ ให้ดำเนินการตามกระบวนการสรรหาต่อไป แต่สิ่งใดที่เป็นการตัดสินใจให้รอรัฐบาลชุดใหม่ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเรื่องดังกล่าวจะไม่มีปัญหามากนัก เพราะคาดว่าจะจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ได้ภายในสัปดาห์หน้า
ส่วนการสรรหาคณะกรรมการบริหารบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) หรือ MCOT จะต้องรอให้รัฐบาลชุดใหม่เป็นผู้ตัดสินใจ รวมทั้งขึ้นอยู่กับสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นหน่วยงานต้นสังกัดของบมจ.อสมท
"ขณะนี้กระทรวงการคลังก็ได้เตรียมข้อมูลการดำเนินงานของกระทรวงที่ผ่านมา เสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ เพื่อพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป" นายศุภรัตน์กล่าวภายหลังการประชุมร่วมกับผู้บริหารรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงการคลัง เพื่อชี้แจงนโยบายทิศทางการดำเนินงานให้สอดคล้องกับแนวนโยบายของคณะปฏิรูปฯ เมื่อวานนี้ (27 ก.ย.)
***จับตาหุ้นก่อสร้าง-รับเหมา
นายศุภกร สุนทรกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงกรณีที่ คปค.ยืนยันว่าจะมีการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) ในปี 2550 อย่างแน่นอนว่า หากเมกะโปรเจกต์ เกิดขึ้นจริง แน่นอนว่า หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนดังกล่าวย่อมได้รับประโยชน์ตามมา แต่ช่วงที่ผ่านมาราคาอาจจะตกไปบ้าง เนื่องจากนักลงทุนยังเป็นห่วงว่าภายหลังจากการปฏิรูปการปกครองของคณะปฏิรูปการปกครองฯ โครงการดังกล่าวอาจจะยกเลิกไปหรือยืดออกไปอีก
อย่างไรก็ตาม จากความชัดเจนที่ คปค.ออกมายืนยันแล้วว่าจะให้การลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์เดินหน้าต่อไป เชื่อว่าจะเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ต้องรอการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศต่อจาก คปค. ก่อน ซึ่งในส่วนรายละเอียดของโครงการเองก็ต้องรอดูด้วยว่าจะเดินตามนโยบายเดิมหรือไม่ เช่น โครงการรถไฟฟ้ายังเหลืออยู่กี่สาย หรือจะเดินหน้า 3 สายแรกต่อไปหรือไม่
ทั้งนี้ การที่หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากโครงการเมกะโปรเจกต์ ทั้งกลุ่มก่อสร้าง ผู้รับเหมา อาจจะมีผลประกอบการไม่ค่อยดีเท่าไหร่ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา แต่เชื่อว่าหุ้นกลุ่มนี้จะดีดรับรายได้ในอนาคตได้ เพราะกว่าจะมีการประมูลงานอย่างจริงจังคงจะใช้เวลาอีกสักพัก อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าราคาหุ้นในกลุ่มนี้ได้ขายรับไปบ้างแล้ว แต่อาจจะปรับขึ้นไม่รุนแรงมากนักถ้าเทียบก่อนเกินการปฏิรูปการปกครอง
"เชื่อว่าตลาดยังรอความชัดเจนของคณะระฐมนตรีชุดใหม่ที่จะเข้าสานต่อว่าจะดำเนินงานต่อไปอย่างไร หรือจะลงทุนโครงการใดบ้าง ซึ่งคาดว่าในช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้าคงจะมีความชัดเจนมากขึ้น"นายศุภกรกล่าว
สำหรับผลต่อเศรษฐกิจ นายศุภกรกล่าวว่า การลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์ มีผลดีต่อเศรษฐกิจอยู่แล้ว ซึ่งเห็นได้จากนโยบายของพรรคการเมืองขนาดใหญ่ในช่วงก่อนการปฏิรูปการปกครองที่ผ่านมา ก็นำการลงทุนในรถไฟฟ้าขึ้นมาหาเสียงด้วย
ส่วนพอร์ตการลงทุนของบลจ.เอ็มเอฟซี ก่อนหน้านี้มีการขายหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับโครงการเมกะโปรเจกต์ออกไปส่วนหนึ่ง เนื่องจากราคาปรับตัวลดลงไป แต่ก็มีการกลับเข้าไปซื้อบ้าง ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มดังกล่าวอาจจะมีความผันผวนบ้างแต่ก็คงจะต้องมีอยู่ในพอร์ตการลงทุนบ้าง
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|