ขณะที่การเจรจาเปิดเสรีทางการเงินกำลังจะเปิดฉากขึ้น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
ในฐานะผู้คุมกฎทางการเงินของประเทศได้พยายามวางรากฐานโครงสร้างของสถาบนการเงินไทย
ให้เป็นปึกแผ่นแข็งแกร่งสามารถต้านทานกับการถาโถมเข้ามาของต่างชาติ ซึ่งมีความได้เปรียบในเชิงการแข่งขันกว่าไทยหลายเท่าตัว
แผนแม่บททางการเงิน เป็นความตั้งใจหนึ่งในการสร้างความพร้อมให้แก่สถาบันการเงินไทย
ก่อนที่จะก้าวย่างเข้าสู่โลกของการแข่งขันที่ดุเดือดอย่างเต็มตัว ดังนั้นนับจากนี้ไปจึงเสมือนหนึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการปรับและเปลี่ยนตัวเองของสถาบันการเงินเพื่อความอยู่รอดในสภาวการณ์เช่นนี้
"จุดสำคัญก็คือว่าธนาคารพาณิชย์ไทยต้องปรับตัว เมื่อปรับตัวได้ก็ต้องเปิดกว้างทีละนิดเพื่อที่จะได้ปรับให้มากขึ้นไปอีก
และการปรับตัวนี้ก็เพื่อ defend ตลาดภายในของตนเอง ขณะเดียวกันก็ต้องมีการขยายออกไปยังต่างประเทศด้วย
นอกจากนี้ยังต้องปรับไปหาธุรกิจที่มีมูลค่าสูงขึ้น ทำยากขึ้น เช่นการค้าเงินตราต่างประเทศ
การทำตราสารอนุพันธ์ การจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ การปรับตัวต้องออกมาในลักษณะนี้"
ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ผู้อำนวยการฝ่ายกำกับและพัฒนาสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลสถาบันการเงินโดยตรง กล่าวถึงทิศทางของธนาคารพาณิชย์ที่จะต้องเดินไปในอนาคตอันใกล้นี้
การเปิดเสรีทางการเงินตามแผนแม่บทของไทย จะมีลักษณะเปิดเป็นขั้นเป็นตอน
ทั้งนี้ก็เพื่อให้โอกาสแก่สถาบันการเงินของไทยปรับปรุงศักยภาพการแข่งขันของตนเองให็แข็งแกร่งขึ้น
ล่าสุดเมื่อกลางปี 2539 ธปท. ได้เพิ่มใบอนุญาตการประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์
สาขาเต็มรูปแบบแก่ธนาคารต่างประเทศอีก 7 แห่ง จากเดิมที่มีอยู่แล้ว 14 แห่ง
พร้อมทั้งได้ให้ใบอนุญาตประกอบกิจการด้านวิเทศธนกิจ (BIBFs) รอบ 2 อีก 7
แห่งจากเดิมที่มีอยู่ 31 แห่ง นอกเหนือจากนี้ยังมีธนาคารต่างประเทศที่เข้ามาจัดตั้งสำนักงานตัวแทนอยู่ในประเทศไทยอีกประมาณ
40 แห่งอีกด้วย อย่างไรก็ตาม แม้ว่าธนาคารต่างชาติ ที่มีสาขาเต็มรูปแบบจะได้รับอนุญาตให้เปิดสาขาได้เพียงแห่งเดียวแต่ก็ได้สร้างเงินทุนหมุนเวียนในระบบการเงินของไทยมากกว่า
20,000 ล้านบาททีเดียว
นอกเหนือจากการบริหารที่มีความเป็นมืออาชีพระดับสากลแล้ว ธนาคารต่างชาติยังมีความได้เปรียบในเชิงธุรกิจอีกด้วย
โดยเฉพาะในธุรกิจการบริหารเงิน (Treasury) ถือเป็นจุดแข็งที่สำคัญและยังเป็นแหล่งสร้างรายได้ให้แก่ธนาคารต่างชาติอย่างเป็นกอบเป็นกำทีเดียว
โดยกินส่วนแบ่งการตลาดไทยกว่า 50% โดยเฉพาะในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศหรือ
FOREX (Foreign Exchange Market)
การหลั่งไหลเข้ามาของธนาคารต่างชาติที่มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มจะแทรกตัวเข้ามาในตลาดได้มากขึ้น
ทำให้การแข่งขันเริ่มทวีความร้อนแรงมากขึ้นตามไปด้วย นอกเหนือจากนี้ บริษัทเงินทุนยังเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่จะต้องเข้ามามีส่วนร่วมในอนาคตอันใกล้นี้
ซึ่งธนาคารไทยจำเป็นต้องมีการปรับทิศทางการสร้างกำไรกันใหม่ โดยเริ่มหันมาทำธุรกิจที่มีความซับซ้อนมีมูลค่าเพิ่ม แลใช้ความชำนาญเฉพาะด้านสูงมากขึ้น ซึ่งธุรกิจการบริหารเงินก็เป็นหนึ่งที่ธนาคารไทยได้เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ในฐานะผู้ดูแลเสถียรภาพของระบบการเงินไทย ธปท.จึงมีสามารถนิ่งนอนใจได้
"สำหรับธนาคารพาณิชย์ที่มีการทำธุรกิจค้าเงินตราต่างประเทศ ทางธปท.จะให้แต่ละธนาคาร
set limit ตัวเองก่อนแล้วนำมายื่นธปท. หลังจากนั้นธปท.ต้องมาดูว่าครอบคลุมและเหมาะสมกับระดับที่เขาทำหรือไม่
ถ้าธนาคารทำซับซ้อนมากก็ต้อง set limit มาก หากไม่ซับซ้อนก็ limit น้อยเท่าที่ผ่านมาธปท.จะเข้าไปควบคุมธนาคารไทยมากกว่าธนาคารต่างชาติ
เพราะธนาคารต่างชาติมีกฎระเบียบคอยควบคุมในแง่ขอบเขตกิจกรรมอยู่แล้วฉะนั้นธปท.จะคุมในเรื่องของ
net position และลูกหนี้รายใหญ่มากกว่า คือถนนที่เขาเดินแคบกว่าธนาคารไทยเพราะทุนที่ธปท.กำหนดไว้นั้นเล็กกว่าธนาคารไทย
ทำให้เขามีช่องที่จะค้าเล็กกว่าธนาคารไทย ซึ่งถนนกว้างแต่ยังไม่มีความเชี่ยวชาญมากนัก"
ธีระชัยให้ภาพกว้างๆ เกี่ยวกับการควบคุมธุรกิจการค้าเงินตราของธปท.
โอกาสที่ตลาดบริหารเงินจะเติบโตยังมีอยู่อีกมาก ซึ่งทางธปท.ก็เล็งเห็นถึงแนวโน้มที่กำลังจะเกิดขึ้น
ดังนั้นจึงมีความพยายามที่จะจัดทำกรอบและมาตรฐานในการค้าเงินเป็นแนวทางเดียวกัน
เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต "นับแต่นี้ต่อไปการค้าเงินตราต่างประเทศจะมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น
มีปริมาณใหญ่ขึ้น และจะกระจายออกไปไม่ใช่เฉพาะธนาคาร จะข้ามไปยังบริษัทไฟแน้นซ์ด้วย
ฉะนั้นแนวการกำกับดูแลก็ดี เรื่องภาษี การตรวจสอบ แนววิธีที่จะควบคุม และการติดตามว่าเทรดเดอร์คนไหนค้าเกินหรือไม่เกิน
limit ตรงนั้นควรจะมีระบบเข้ามากำกับดูแล เนื่องจากธปท.เองไม่มีกำลังก็เลยขอไปยังสมาคมธนาคารไทย
ให้ผ่านมาทางชมรม FOREX ให้ตั้งคณะทำงานขึ้นมา ซึ่งเวลานี้ก็ได้จ้างสำนักงานตรวจสอบบัญชีพีท
มาร์วิค มาช่วยเขียนให้โดยมีคนของธปท.เข้าไปช่วย ตอนนี้ได้ประมาณ 1 ใน 3
แล้ว เมื่อเสร็จทุกธนาคารก็จะได้นำไปใช้ในแนวเดียวกัน"
ระเบียบวิธีที่กำลังจัดร่างขึ้นนี้ถือเป็นคู่มือปฏิบัติในการดำเนินธุรกิจการบริหารเงิน
ซึ่งจะออกมาในลักษณะให้ธนาคารพาณิชย์ควบคุมตัวเองแทนที่จะเป็นธปท. ขณะเดียวกันก็จะช่วยแก้ไขความไม่ชัดเจนในการลงบัญชีรายได้หรือกำไรที่เกิดจากธุรกิจการบริหารเงิน
ซึ่งปัจจุบันการลงบัญชีของธนาคารพาณิชย์ยังไม่ได้แยกว่ากำไรนั้นเกิดจากกิจกรรมการซื้อขายเงินในห้องค้า
(Dealing Room) หรือเกิดจากกิจกรรมนอกห้องค้า อันได้แก่ ค่าธรรมเนียมจากการบริการ
และส่วนต่างของอัตราแลกเปลี่ยน เช่น การโอนเงินเข้า-ออกนอกประเทศ ซึ่งยังเป็นจุดอ่อนที่ทำให้ธปท.เข้าไปดูแลได้ไม่เต็มที่นัก
ในระหว่างที่รอให้คู่มือที่ร่างโดยชมรม FOREX เสร็จสิ้น ทางธปท.ได้กำหนดกรอบคร่าวๆ
ให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในการลงบัญชีกำไรที่ได้มาจากการค้าเงินตราต่างประเทศ
"ขณะนี้ธปท.ได้เริ่มต้นเข้าไปดูระบบคร่าวๆ แล้ว โดยให้ธนาคารพาณิชย์เขียน
manual เข้ามาก็ปรากฏว่าบางธนาคารมีการแจกแจงอย่างละเอียด บางธนาคารยังต้องปรับปรุง
จากนั้นธปท.ก็จะให้ผู้ตรวจสอบบัญชีมาช่วยตรวจเป็นรอบที่ 2 โดยจะทำทุกปีเพราะการค้าเงินเปลี่ยนแปลงทุกปี
ปีนี้ยังไม่ค้าดอลลาร์/เยน แต่ปีหน้าอาจจะค้าก็ต้องเข้าไปดูการเปลี่ยนแปลงกิจกรรมด้วย
และเมื่อคู่มือที่ทางชมรม FOREX เสร็จธนาคารจะต้องปรับปรุงระบบควบคุมภายในให้สอดคล้องกับคู่มือนี้
และหลังจากนั้นธปท.ก็จะออกแบบรายงานเพิ่มเติม โดยแบบรายงานนี้จะบังคับให้รายงานกำไรโดยแบ่งตามกิจกรรมหรือความเสี่ยง
ซึ่งธนาคารก็จะต้องปรับระบบให้สอดคล้องกับแบบรายงานนี้ด้วยเช่นกัน แต่คงต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป"
ในสายตาของธปท. การค้าเงินตราในห้องค้าเงินขอธนาคารพาณิชย์ไทยค่อนข้างดูแลอย่างรัดกุม
เพราะกำไรส่วนใหญ่จะมาจากกิจกรรมนอกห้องค้า ด้วยความที่ไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกธนาคารจึงเปรียบเสมือนผู้คุมช่องทางการชำระเงิน
(Channel of Payment) ซึ่งผู้ส่งออกทุกคนจะต้องเข้ามาทำธุรกรรมผ่าน และกำไรตรงนี้ก็มีความเสี่ยงต่ำอีกด้วย
กว่าที่ธนาคารไทยจะเทียบชั้นกับธนาคารต่างประเทศได้ในธุรกิจการบริหารเงิน
โดยเฉพาะธนาคารขนาดกลางและขนาดเล็ก คงยังต้องใช้ทุนและเวลาอีกมากเพราะเพียงการลงทุนและพัฒนาระบบ
เทคโนโลยี ซอฟต์แวร์ และบุคลากรให้มีประสิทธิภาพเทียบเท่าก็เป็นเรื่องที่น่าหนักใจไม่เบาเลยที่เดียว…..!