นับตั้งแต่ปี 2414 จวบจนถึงปัจจุบัน 123 ปีแห่งตำนานเก่าแก่ของคนในตระกูลหวั่งหลีได้เริ่มต้นเมื่อ
"ตันฉื่อฮ้วง" บรรพบุรุษต้นตระกูลหวั่งหลีคนแรก ได้เดินทางมาติดต่อค้าขายและลงหลักปักฐานในเมืองไทย
กิจการส่งออก-นำเข้า และโรงสีที่ใหญ่ที่สุดได้กลายเป็นฐานเงินทุนที่สั่งสมให้คนรุ่นหลังในครอบครัวใหญ่เช่นนี้ได้ดำรง
รักษาสถานภาพทางสังคมและเศรษฐกิจไว้อย่างเป็นปึกแผ่นมั่นคง
สุวิทย์ หวั่งหลี เกิดและตายในห้วงเวลาที่สำคัญของการเปลี่ยนแปลงของคนในตระกูลหวั่งหลี
สุวิทย์เป็นคนหวั่งหลีในรุ่นที่สี่ เป็นบุตรชายคนโตของตันซิวเม้งและทองพูน
ช่วงเวลาที่สุวิทย์ยังเยาว์เหตุการณ์ผันแปรทางการเมืองไทยที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองของคณะราษฎร์และในปี
2488 ตันซิวเม้ง บิดาของสุวิทย์ต้องถูกปองร้ายถึงชีวิตในสงครามต่อต้านญี่ปุ่นในฐานะผู้นำชาวจีนโพ้นทะเลในไทย
นี่คือสาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้คนในตระกูลหวั่งหลีในรุ่นต่อมาไม่พยายามยุ่งเกี่ยวกับการเมือง
จวบจนกระทั่งวันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม 2537 อุบัติเหตุเครื่องบินตกได้ปลิดชีวิตของสุวิทย์ไปอย่างไม่คาดคิด
!! เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของคนตระกูลหวั่งหลีและเป็นโศกนาฏกรรมครั้งแรกของสมาคมสโมสรการบินพลเรือนในรอบ
14 ปี
ในปี 2520 สุวิทย์สมัครเป็นสมาชิกสมาคมสโมสรการเรียนขับเครื่องบินคอร์สพิเศษ
คอร์สละ 40,000 บาทฝึกบินจนถึงระดับชั้นแนวหน้าที่มีเพดานบินกว่า 1,000 ชั่วโมงและเป็นอุปนายกสมาคมฯ
เมื่อปี 2534 รัฐบาลอนุญาตให้เอกชนมีเครื่องบินส่วนตัวได้สุวิทย์ดีใจมากและได้ซื้อพาหนะ
คู่ใจ "TB 20/L" มูลค่าไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาทจากฝรั่งเศสมาทันที
โดยมีเพื่อนเศรษฐีอีกไม่ต่ำกว่า 76 รายซื้อเช่นกันเช่น รชฎ กาญจนวณิชย์ ชาญ
โสภณพานิช กฤษฎา อรุณวงษ์ และบุณยสิทธิ์ โชควัฒนาที่นิยมขับเครื่องบิน บินมาพบปะกันเสมอที่สนามบินบางพระ
ศรีราชาและสนามบินบ่อฝ้าย หัวหิน
หนึ่งในหมู่มิตรสหายนักบินที่รักมานาน ก็คือวิลเลี่ยม แอลวู้ด แฮนเนคคี
เจ้าของไมเนอร์กรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นสำคัญของบริษัทสาธรธานีเจ้าของตึกสาธร
ซึ่งเป็นศูนย์รวมกิจการของตระกูลหวั่งหลีและเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาที่ดิน
เฮนเนคคีรักใคร่กลมเกลียวกับพี่น้องสุวิทย์มายาวนาน เมื่อทราบข่าวอุบัติเหตุครั้งรุนแรงนี้
เฮนเนคคีแทบช็อคและร่วมฝ่าอันตรายค้นหาสุวิทย์ ด้วยอุปกรณ์อันทันสมัยและมีประสิทธิภาพของเฮนเนคคี
ทำให้ในอีกวันต่อมาจึงพบ
แต่ในวันมรณะนั้นสาเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้เกิดจากสภาพอากาศปิด ทัศนวิสัยเลวร้ายแถบเทือกเขาสูงพญาป่อ
จังหวัดแพร่-อุตรดิตถ์ เป็นสิ่งที่นอกเหนือการควบคุม อีกสองวันต่อมาทีมค้นหาจึงพบซากเครื่องบินส่วนตัว
TB 20/L กับศพผู้สวมเสื้อเชิ๊ตแขนสั้นสีขาว กระเป๋าด้านซ้ายปักชื่อย่อ "S.W"
สุวิทย์ได้จบชีวิตด้วยความรักในการบินและรับผิดชอบต่อภารกิจส่วนรวมในฐานะประธานสภาหอการค้าไทย
ครั้งหนึ่งสุวิทย์เคยกล่าวว่า บินแล้วสนุกท้าทายและลืมเรื่องอื่นหมดสิ้น
"ปกติคุณสุวิทย์เป็นคนละเอียดถี่ถ้วน ก่อนบินจะมีช่างลงลายเซ็นดูแลเครื่องเมื่อตรวจสภาพเรียบร้อยแล้ว
และก่อนที่จะขับเครื่องบินก็จะมาตรวจเช็คตามรายการที่กำหนดไว้ก่อนบินทุกครั้ง
เขาเป็นคนที่มีความสามารถในเกณฑ์ที่ดี แม้จะมีอายุมากแล้วก็ตาม รวมทั้งมีความระลึกเสมอว่า
ความสำคัญและความจำเป็นในวิชาชีพจะต้องเดินทางบ่อย ๆ ดังนั้นการบินทุกครั้งจะต้องมีครูฝึกเดินทางด้วยบ่อยๆ"
น.ต. กระสินธุ์ นาคะอภิผู้อำนวยการการบินสมาคมสโมสรการบินพลเรือนเล่าให้ฟัง
สิ้นสุวิทย์ เช้าวันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม วรวีร์ หวั่งหลี กรรมการผู้จัดการใหญ่กล่าวกับนักข่าวว่า
"ขาดคุณสุวิทย์ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญไป ย่อมได้รับผลกระทบบ้าง"
หากย้อนพิจารณาแนวการดำเนินธุรกิจของสุวิทย์ หวั่งหลี จะพบว่าความทะเยอทะยานทางธุรกิจของสุวิทย์มีน้อยมาก
ๆ การบริหารงานที่เน้นความมั่นคงทำให้ถูกมองว่าเป็น "อนุรักษ์นิยม"
โดยเฉพาะกิจการเก่าแก่อย่างธนาคารนครธนซึ่งสุวิทย์เปลี่ยนชื่อจากธนาคารหวั่งหลีในปี
2528
ภารกิจสร้างธนาคารนครธนในฐานะกิจการครอบครัวในยุคสุวิทย์ สามารถสร้างความเป็นปึกแผ่นของคนในตระกูลได้เมื่อสามารถดึง
"หวั่งหลี" สายอื่น ๆ เข้ามาร่วม เช่น วรวีร์ หวั่งหลี ลูกชายของตันสิ่วติ่งได้ลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการตลาดของคาลเท็กซ์
ทำนุ หวั่งหลี ญาติผู้น้องซึ่งทำงานกับธนาคารฮ่องกง-เซี่ยงไฮ้
รากฐานโครงสร้างที่ปรับมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้สุวิทย์ได้ขึ้นเป็นประธานกรรมการเจ้าหน้าที่บริหารหรือ
CEO ของแบงก์นครธน ทำให้วันนี้ วรวีร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่จำเป็นต้องควบตำแหน่งรักษาการของสุวิทย์ไว้ก่อน
รอจนกระทั่งสิ้นสุดการไว้ทุกข์ให้แก่สุวิทย์ จึงจะมีการปรับและแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงใหม่
อาณาจักรของหวั่งหลีในห้วงเวลานี้จึงตกอยู่ในห้วงเวลาอันโศกสลด ทุกธุรกรรมของทุกธุรกิจในสายที่สุวิทย์
หวั่งหลีสร้างสรรค์ขึ้นมาหยุดนิ่งประหนึ่งไว้อาลัย ไม่ว่าจะเป็นกิจการแบงก์นครธน
บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์พูลพิพัฒน์ บริษัทนวกิจประกันภัย และกลุ่มบริษัทพูนผลที่แตกขยายไปทำธุรกิจพัฒนาที่ดินซึ่งตระกูลหวั่งหลีสายนายแม่ทองพูนครอบครองที่ดินย่านสำคัญๆ
เช่น รังสิต ทุ่งมหาเมฆ ตรอกจันทร์ ย่านปู่เจ้าสมิงพรายไว้มากมาย
แต่ประสบการณ์ที่เคยผ่านการสูญเสีย ในช่วงเวลาอันยาวนานนับร้อยปีของตระกูลหวั่งหลี
ได้หล่อหลอมให้กิจการในเครือฟื้นตัวให้พ้นจากความวิตกกังวลได้อย่างรวดเร็ว
จากฐานธุรกิจอันแข็งแกร่งที่สุวิทย์ได้สร้างไว้รองรับคนรุ่นต่อไป แม้ว่ารุ่นที่
5 จะมีทายาทธุรกิจน้อยกว่าบรรพบุรุษก็ตามที !!