|
หุ้นร่วงเพียง 9.99 จุด ต่างชาติไม่หวั่นปฏิวัติเข้าซื้อสุทธิ 7 พันล้าน
ผู้จัดการรายวัน(22 กันยายน 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
ตลาดหุ้นแค่ตกใจช่วงสั้นปิดลบแค่ 9.99 จุด ฝรั่งไม่สนปัญหาการเมืองไล่เก็บหุ้นพอร์ตซื้อสุทธิเกือบ 7.4 พันล้านบาท ประธานตลท.ชี้ตั้งรัฐบาลได้เร็วดีกับระบบเศรษฐกิจ เชื่อเม็ดเงินไหลต่างชาติจะไหลกลับเข้ามาเร็วกว่าที่คาด "ภัทรียา" เตือนนักลงทุนเลือกลงทุนอย่างรอบคอบ ด้านบิ๊กปตท.ชี้ผลกระทบต่อตลาดหุ้นรอบนี้น้อยกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ส่วนตลาดอนุพันธ์วอลุ่มพุ่ง 3 พันสัญญา ขณะที่เฟดคงอัตราดอกเบี้ย 5.25% ตามคาด ส่วน "มูดี้ส์" ยืนยันให้อันดับเรตติ้งเดิมแก่ไทย
ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (21 ก.ย.) ภายหลังตลาดหลักทรัพย์กลับมาเปิดให้ทำการเป็นปกติหลังจากที่คณะปฎิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สั่งให้หยุดการซื้อขายในวันที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา โดยเปิดตลาดในช่วงเช้านักลงทุนกระหน่ำเทขายหุ้นออกมาอย่างหนัก ส่งผลทำให้ดัชนีเปิดตลาดดัชนีหุ้นปรับตัวลงมาหนักอยู่ที่ 673.00 จุดลดลง 29.56 จุด หรือ 4.20% ต่อมามีแรงซื้อเข้ามาทำให้ดัชนีเริ่มฟื้นตัวและมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยดัชนีปิดที่ 692.57 จุดลดลง 9.99 จุด หรือ1.42% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 702.05 จุด มูลค่าการซื้อขายหนาแน่นที่ระดับ 43,084.01 ล้านบาท ถือได้ว่ามีมูลค่าการซื้อขายวันนี้สูงที่สุดในรอบ 5 เดือน
การซื้อขายของนักลงทุนรายกลุ่มปรากฏว่า นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 7,393.14 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 2,787.86 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 4,605.28 ล้านบาท
นายวิจิตร สุพินิจ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า จากการที่ภาวะตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวดีขึ้นหลังจากในช่วงแรกที่เปิดการซื้อขายดัชนีฯ จะมีการปรับตัวลดลงแรงก็ตามนั้น เป็นการแสดงให้เห็นว่าจากนี้ไปภาวะตลาดน่าจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากหากพิจารณาในเรื่องปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง และจากการปฏิรูปทางการเมืองในครั้งนี้ก็เป็นไปในทิศทางที่มีความเรียบร้อย ก็จะทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจในการลงทุนมากขึ้น
ทั้งนี้หากมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้เร็ว มีการตัดสินใจในเรื่องการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่รวดเร็วก็จะเป็นปัจจัยบวกที่จะกระตุ้นการลงทุนเศรษฐกิจให้มีการเติบโตจะส่งผลทำให้เม็ดเงินการลงทุนทั้งทางตรงและทางอ้อมจะไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในช่วงเปิดตลาดดัชนีฯ ได้มีการปรับตัวลดลงมาประมาณ 2-3% นั้นถือว่าไม่รุนแรงมากนักเมื่อเทียบกับเหตุการณ์ในอดีต จากการที่นักลงทุนได้รับรู้ข้อมูลมากขึ้นจากการที่วานนี้ได้มีการปิดซื้อขาย 1 วัน ทำให้นักลงทุนคลายความกังวลกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งนักลงทุนควรที่จะมีการพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนการตัดสินใจขายหุ้นออกมา
ก.ล.ต.ชี้แจงสถานการณ์การเมือง
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. กล่าวถึงการเข้ามาร่วมสังเกตการณ์เกี่ยวกับการเปิดให้มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า การซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ในวันนี้ถือว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงระบบการทำงานและดูแลของตลาดหลักทรัพย์ก็เป็นไปอย่างเรียบร้อย
ทั้งนี้สิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะส่งผลต่อความมั่นใจของนักลงทุนต่างชาติเนื่องจากความเข้าใจในสถานการณ์ปัจจุบัน แต่นักลงทุนไทยซึ่งอยู่ในพื้นที่มีความเข้าใจมากกว่าจึงไม่น่าจะส่งผลกระทบในเรื่องการเทขายหุ้นออกมารุนแรง เพราะสถานการณ์ล่าสุดถือว่าทำให้มีความชัดเจนมากขึ้น
อย่างไรก็ตามหากพิจารณาถึงพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศยังถือว่าอยู่ในระดับที่ดี ซึ่งนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนควรจะติตตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดเพื่อความชัดเจนในการลงทุน
นายธีระชัย กล่าวอีกว่า ตลอดวานนี้ทั้งวันก.ล.ต.จากต่างประเทศในภูมิเอเชีย ได้สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศมายังก.ล.ต.ไทยค่อนข้างมาก ซึ่งสำนักงานได้มีการชี้แจงเพื่อให้ทราบถึงสถานการณ์ โดยสิ่งที่ก.ล.ต.ต่างประเทศให้ความสนใจคือการกลับมาเปิดซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ และข้อจำกัดในเรื่องการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ เนื่องจากมีความกังวลว่าอาจจะส่งผลทำให้นักลงทุนในประเทศนั้นๆ ที่ถือหุ้นในบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทยไม่สามารถซื้อขายหุ้นได้
ผลกระทบรุนแรงน้อยกว่าอดีต
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า จากความกังวลของนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศขณะนี้ได้เริ่มคลายความกังวลเนื่องจากทางคณะปฏิรูปการปกครองมีความชัดเจนและมีแนวทางที่จะดำเนินการต่อไป ซึ่งหากเทียบกับอดีตที่ผ่านมาเช่น ช่วงเดือนพฤษภาคม 2535 ยึดอำนาจโดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ปี 2534 เหตุการณ์ 11 กันยายน 2544 ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงไปประมาณ 6-8% ขณะที่วานนี้ปรับตัวลดลงไม่มาก
ทั้งนี้การที่ดัชนีปรับลดลงไม่มากสะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนเชื่อมั่นว่าสถานการณ์ทางการเมืองมีความชัดเจนมากขึ้น ขณะที่หุ้น ปตท. ซึ่งมีการเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับราคาปิดก่อนที่จะเกิดการยึดอำนาจการปกครองที่ 218 บาทต่อหุ้น ซึ่งทำให้เชื่อได้ว่าทุกอย่างจะกลับมาสู่ภาวะปกติโดยเร็ว อย่างไรก็ตาม ตลาดหลักทรัพย์ สถาบันการเงิน และบริษัทต่างๆ ได้พยายามสร้างความมั่นใจและร่วมชี้แจงให้กับนักลงทุน
อนุพันธ์วอลุ่มพุ่ง 3,623 สัญญา
นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตลาดอนุพันธ์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า วานนี้ตลาดอนุพันธ์ได้เปิดดำเนินการซื้อขายตามปกติ หลังจากปิดดำเนินการ 1 วัน เนื่องจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งเป็นตลาดของสินค้าอ้างอิงได้หยุดทำการในวันที่ 20 กันยายน 2549 พบว่าผู้ลงทุนให้ความสนใจเข้ามาซื้อขายเป็นจำนวนมาก โดยมีปริมาณการซื้อขายสูงถึง 3,623 สัญญา สูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ตลาดอนุพันธ์เปิดดำเนินการ ทั้งนี้ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยของช่วงเวลาเกือบ 5 เดือน ที่เปิดดำเนินการเฉลี่ยอยู่ที่ 795 สัญญาต่อวัน
เล็งปรับลดราคาน้ำมันขายปลีก
นายประเสริฐ กล่าวอีกว่า จากราคาน้ำมันดิบตลาดโลกในวันนี้ที่มีแนวโน้มที่อ่อนตัวลง เนื่องจากปรับตัวลงติดต่อกันมานานแล้ว บริษัทอาจจะพิจารณาการปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศลงให้เหมาะสมในสัปดาห์หน้า โดยก่อนหน้านี้ได้มีการปรับราคาขายปลีกภายในประเทศลดลง โดยเบนซินลดลงประมาณ 4 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซล 2 บาทต่อลิตร
อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังคงไม่มีปัจจัยที่จะส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ยังคงต้องจับตาดูการใช้น้ำมันในช่วงฤดูหนาวนี้ เนื่องจากเป็นช่วงที่ความต้องการใช้มากขึ้น อาจจะทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นได้
ก.ล.ต.ลุยสอบหุ้นชินต่อ
นายธีระชัย กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบหุ้นกลุ่มชินคอร์ป ว่า สำนักงานก.ล.ต.ยังคงเดินหน้าในการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวต่อเนื่อง โดยได้มีการประสานงานกับยังหน่วยงานจากต่างประเทศที่ได้มีการติดต่อเพื่อข้อมูลไว้ก่อนหน้านี้โดยได้ขอให้เร่งรัดกระบวนการส่งมูลเพื่อนำมาพิจารณาตรวจสอบต่อไป
ทั้งนี้ ในเรื่องการตรวจสอบดังกล่าว สำนักงานก.ล.ต.ยังไม่ได้รับคำสั่งให้มีการเร่งรัดหรือให้ดำเนินการเป็นอย่างอื่นจากคณะปฎิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
"เราจะเร่งดำเนินการในเรื่องการตรวจสอบให้เร็วที่สุด โดยเมื่อวานนี้รองเลขาฯก.ล.ต.ได้เป็นตัวแทนในการเข้ารายงานตัวกับคณะปฎิรูปฯ เนื่องจากผมติดภารกิจอยู่ต่างประเทศ เท่าที่ทราบยังไม่ได้มีการสั่งการให้เร่งดำเนินการตรวจสอบหรือข้อมูลแต่อย่างใด" นายธีระชัยกล่าว
"มูดี้ส์" ยืนยันให้อันดับเรตติ้งเดิมแก่ไทย
เอเอฟพี - มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของโลก ยืนยันวานนี้ (21) ว่า จะไม่มีการปรับลดระดับความน่าเชื่อถือของไทยอย่างแน่นอน และจะยังคงเรตติ้งทิศทางแนวโน้มอนาคตของไทยไว้ที่ "Stable" เช่นเดิมด้วย โดยให้เหตุผลว่า เป็นเพราะพื้นฐานทางเศรษฐกิจต่างๆ ของไทยมีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะฝ่าฟันสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นได้
"สถานะทางการเงินและความสามารถในการชำระหนี้ต่างประเทศของไทย น่าจะมีความเข้มแข็งพอที่จะทนทานต่อความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว จากการก่อรัฐประหารเมื่อวันอังคาร" มูดี้ส์กล่าว
ด้วยเหตุนี้ ทางสถาบันจึงมิได้มีการเปลี่ยนแปลงอันดับความน่าเชื่อถือและเรตติ้งทิศทางแนวโน้มในอนาคตของไทยแต่อย่างใด โดยอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้สกุลเงินต่างชาติและสกุลเงินท้องถิ่นของรัฐบาลไทย ยังคงอยู่ที่ Baa1 ขณะที่ยังคงเรตติ้งพันธบัตรสกุลเงินต่างประเทศ และเงินฝากสกุลเงินต่างประเทศอยู่ที่ระดับ A3 และ Baa1 เช่นเดิม
โธมัส เบิร์น รองประธานมูดี้ส์ระบุว่า "มูดี้ส์มองว่าการก่อรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา เป็นวิวัฒนาการทางการเมืองภายในประเทศครั้งสำคัญ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างคณะรัฐบาลของพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร, กองทัพ และชนชั้นนำในกรุงเทพฯ มากกว่าที่จะก่อให้เกิดผลทางการเงิน"
กระนั้นก็ดี เบิร์นยังย้ำด้วยว่า "แต่มูดี้ส์ยอมรับว่า สถานการณ์บ้านเมืองไทยยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่มาก และเราจะติดตามความเคลื่อนไหวในกรุงเทพฯ ต่อไปว่า สถานการณ์ในอีกหลายสัปดาห์หรืออีกหลายเดือนข้างหน้าจะคลี่คลายไปในทิศทางใด"
เฟดคงอัตราดอกเบี้ย 5.25% ตามคาด
เอเอฟพี - ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งที่สองติดต่อกันตามคาดในการประชุมรอบล่าสุด หลังข้อมูลเศรษฐกิจหลายชิ้นบ่งชี้ชัด เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลง พร้อมกับแรงกดดันภาวะเงินเฟ้อที่เริ่มบรรเทาเบาบาง
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (20) คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (เอฟโอเอ็มซี) มีมติด้วยคะแนนเสียง 10 ต่อ 1 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายเฟดฟันด์เรตอยู่ที่ 5.25% เช่นเดียวกับในการประชุมครั้งที่แล้ว หลังจากที่ช่วงก่อนหน้านั้น ได้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องมาแล้วถึง 17 ครั้ง
เฟดระบุว่า ยังคงมีความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในอนาคต แต่ได้ตั้งข้อสังเกตว่า "เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงในระดับพอประมาณต่อไป ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่ตลาดที่อยู่อาศัยเริ่มคลายความร้อนแรง"
แถลงการณ์ภายหลังการประชุมของเฟดยังชี้อีกว่า แม้แรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อจะยังคงมีอยู่ แต่ก็มีเหตุผลหลายประการที่ทำให้คาดการณ์ได้ว่า แรงกดดันเหล่านี้น่าจะบรรเทาเบาบางลงได้ในระดับพอประมาณ
เอฟโอเอ็มซีเผยต่อไปว่า "คณะกรรมการลงความเห็นว่า ความเสี่ยงบางประการที่เกิดจากภาวะเงินเฟ้อยังคงมีอยู่ ด้วยเหตุนี้ ขอบเขตและจังหวะเวลาในการใช้นโยบายปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปเพื่อรับมือกับความเสี่ยงดังกล่าว จึงขึ้นอยู่กับแนวโน้มด้านราคาและการขยายตัวทางเศรษฐกิจในอนาคตเป็นสำคัญ"
กระนั้นก็ดี นักวิเคราะห์บางรายมองว่า การที่เฟดแสดงทัศนะโน้มเอียงไปในด้านการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ก็เพื่อต้องการหลีกเลี่ยงมิให้ตลาดการเงินพุ่งแรงเกินไป ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรลดต่ำลง และกระตุ้นให้เกิดการกู้ยืมมากขึ้น จนทำให้แรงกดดันด้านภาวะเงินเฟ้อยิ่งเพิ่มสูง
อย่างไรก็ตาม มาร์ก เลแวสก์ หัวหน้านักยุทธศาสตร์สาขาอเมริกาเหนือของทีดี ซิเคียวริตี้ส์กล่าวว่า "เรายังคงเชื่อว่า วัฎจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว ที่เหลือขึ้นอยู่กับเวลาว่า เฟดจะเริ่มแสดงท่าทีอ่อนลงเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อเมื่อใดเท่านั้น"
แพทริก ฟีรอน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของเอจี เอ็ดเวิร์ดส์ชี้ว่า แม้ถ้อยแถลงของเฟดครั้งนี้แทบจะเหมือนกันทุกประการกับแถลงการณ์เมื่อ 6 สัปดาห์ก่อน "ทว่า ยังมีร่องรอยบางอย่างที่แสดงนัยยะว่า ทางคณะกรรมการอาจเริ่มที่จะวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อน้อยลง"
เขาได้เสริมว่า "ในการประชุมครั้งนี้ เอฟโอเอ็มซีมิได้มีการอ้างถึงการหดตัวของตลาดที่อยู่อาศัยว่า ได้ดำเนินไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปดังเช่นที่กล่าวถึงในการประชุมครั้งก่อนๆ ซึ่งนั่นอาจตีความได้ว่า เฟดกำลังมองว่าตลาดที่อยู่อาศัยได้กลายมาเป็นอุปสรรคสำคัญ ที่มีผลฉุดรั้งเศรษฐกิจสหรัฐฯ รุนแรงมากขึ้นกว่าที่คาด" นอกจากนี้ เฟดยังชี้อีกว่า ราคาพลังงานที่ปรับตัวลดลง จะช่วยทำให้การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อลดต่ำลง
ฟีรอนแจกแจงว่า แม้เฟดจะยังเอ่ยอ้างถึงโอกาสที่จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาถึงสภาพการณ์โดยรวมขณะนี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า
"เราจึงคาดว่า อัตราดอกเบี้ยน่าจะคงที่อยู่ที่ระดับนี้ไปจนถึงต้นปีหน้าเป็นอย่างน้อย และถึงแม้ว่าเราจะคาดการณ์ผิดไป และเศรษฐกิจสหรัฐฯจะชะลอตัวลงกว่าที่คาด ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่เฟดอาจประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยตอนต้นปี 2007" ฟีรอนกล่าว
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|