เป็นเวลาสี่ถึงห้าปีมาแล้วที่ความสวยงามของหนังสือรายงานประจำปี ปฏิทินหรือหนังสือสรุปข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทที่เรียกว่า
"คัมปะนีโปรไฟล์" (COMPANY PROFILE) ได้กลายเป็นหน้าตาบริษัทโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เมื่อชิ้นงานเหล่านี้ได้รับรางวัลทางด้านการออกแบบที่จัดขึ้นโดยคนในธุรกิจโฆษณาอย่างเช่น
"แบด อะวอร์ด" ทั้งบริษัท เจ้าของหนังสือและบริษัทที่เป็นผู้ออกแบบและผลิต
ต่างก็มีภาพพจน์ที่ดีขึ้น
การประกวดรางวัลแบดอะวอร์ดปีนี้ หนังสือของบริษัทในเครือ เดอะ เอ็มกรุ๊ปและเครือบริษัทสามารถ
คว้าไปเล่มละ 2 รางวัล เดอะ เอ็มกรุ๊ปนั้นได้รางวัลออกแบบตัวอักษรยอดเยี่ยม
(BEST TYPOGRAPHY) และรูปเล่มดีเด่น (BEST BOOKLET) ส่วนของสามารถได้รางวัลภาพถ่ายยอดเยี่ยม
(BEST PHOTOGRAPHY) พ่วงติดด้วยรางวัลออกแบบตัวอักษรยอดเยี่ยมเช่นเดียวกัน
หนังสือทั้งสองเล่มนี้น่าสนใจในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์และสวยงาม แต่ที่น่าสนใจมากไปกว่านั้นคือ
ผู้เป็นเจ้าของมันสมองในการสร้างสรรค์รูปลักษณ์หน้าตาของหนังสือ เป็นกิจการที่เพิ่งก่อตั้งได้ไม่ถึง
2 ปี
"PROPAGANDA" หรือ "โปรปะกันดา" คือชื่อของบริษัทนี้
แม้จะมีอายุไม่นานแต่สำหรับคนที่เป็นผู้สร้างแล้ว ไม่ใช่คนหน้าใหม่ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัททั้งสามคือ
สาธิต กาลวันตวานิช ปุณลาภ ปุณโณทก และวิเชียร โต๋ว คือทีมงานหลักที่เคยอยู่คู่กับ
"สามหน่อ" บริษัทกราฟฟิค ดีไซน์ด้านสิ่งพิมพ์ชื่อดังของไทยมานานหลายปี
สาธิตนั้นเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งสามหน่อ เขาทำงานกับสามหน่อมาร่วม 7
ปี ตำแหน่งสุดท้ายคือ ครีเอทีฟ ไดเรคเตอร์ ส่วนปุณลาภกับวิเชียรเคยเป็น กรุ๊ปเฮดของสามหน่อ
ทั้งคู่เป็นนักออกแบบที่ทำงานเข้าขากับสาธิตนับตั้งแต่วิเชียร จบจากคณะคุรุศาสตร์
จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยและปุณลาภจบจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยี่พระจอมเกล้า
วิทยาเขตเจ้าคุณทหาร ลาดกระบังเมื่อ 4 ปีที่แล้ว จนกระทั่งคว้ารางวัลแบด
อะวอร์ดชิ้นแรกให้กับตัวเองในนามของสามหน่อคือ รายงานประจำปีของบริษัท ไทยออยล์
และหนังสือข้อมูลบริษัทของ บุญรอด บริวเวอรี่เมื่อปี 2534 ตามมาด้วยงานระดับรางวัลชิ้นอื่น
ๆ เช่นปฏิทินของบริษัทเยื่อกระดาษสยามหนังสือข้อมูลบริษัทของธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ
เป็นต้น
ด้วยประสบการณ์ของทั้งสามคน จึงไม่น่าแปลกใจว่าโปรประกันดาที่มีอายุปีเศษ
ๆ จะคว้ารางวัลแบด อะวอร์ดในปีนี้ไป 4 รางวัล ทั้งยังมีอีก 2-3 ชิ้นงานที่เข้ารอบแต่ไม่ได้รับรางวัล
โปรปะกันดา มีสาธิตเป็นกรรมการผู้จัดการ ส่วนปุณลาภและวิเชียรเป็นผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบสร้างสรรค์หุ้นส่วนนอกเหนือจากทั้งสามแล้วยังมีบริษัทฟีโนมีน่า
ของบุญเกียรติ กอสมาน เพื่อนร่วมรุ่นโรงเรียนสวนกุหลาบของสาธิตมาลงขันด้วย
"ฟีโนมีน่า เป็นโปรดักชั่นเฮ้าส์ทางด้านฟิล์ม ส่วนโปรปะกันดาเป็นบริษัทที่ทำกราฟฟิคดีไซน์ทางด้านสิ่งพิมพ์
มีคุณสาธิตเป็นเอ็มดี ในแง่ที่เป็นครีเอทีฟจริง ๆ ก็จะเป็นผมสองคน"
ปุณลาภกล่าวถึงบริษัทที่ร่วมลงทุนด้วยทุนจดทะเบียนเพียง 1 ล้านบาท
ในส่วนของการทำงานแล้ว โปรปะกันดาเริ่มต้นที่ห้องหนึ่งห้อง คนสองคน อาศัยส่วนหนึ่งของโฟโนมีน่า
งานชิ้นแรกก็เข้ามาทันทีที่บริษัททันทีที่บริษัทเปิดโดยการติดต่อของสาธิต
เป็นเอกสารโครงการทางด้านอสังหาริมทรัพย์ "เอสจี สตาร์" ซึ่งนับเป็นงานชิ้นแรกของโปรปะกันดาที่ออกสู่วงการ
"งานที่โปรปะกันดา จะมีก็เพียงไทยออยส์เจ้าเดียวเท่านั้น ที่เป็นลูกค้าเก่าที่เราเคยทำงานให้กับเขาในนามของสามหน่อ
ที่เหลือเป็นลูกค้าใหม่หมด คนในแวดวงเขารู้จักกันรู้จักฝีมือเรา เอเยนซี่ก็แนะนำลูกค้ามาหาเราเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขารู้จักคุณสาธิต งานก็เลยอาจมาจากสาธิตมากหน่อย"
วิเชียรกล่าว
จำนวนงานที่เพิ่มมากขึ้นบุคลากรของโปรปะกันดาก็เพิ่มมาเป็น 20 คนในปัจจุบัน
ซึ่งก็เป็นเพียงบริษัทขนาดเล็กหากพิจารณาจากจำนวนคนเปรียบเทียบกับบริษัทอื่นในธุรกิจประเภทเดียวกัน
เช่นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีพนักงานร่วม 80 คน บริษัทขนาดกลาง ๆ ก็จะมีประมาณ
40 คนอย่างเช่นสามหน่อ เป็นต้น
ปุณลาภกล่าวว่า โปรปะกันดาพยายามจะรักษาขนาดของบริษัทให้อยู่ในระดับนี้
มีขีดความสามารถรับงานได้ประมาณ 30-40 ราย
"กำไรของธุรกิจนี้มาจาก 2 ทางคือ รับงานมากขึ้น หรือทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
มีคุณภาพมากขึ้น เราชอบที่จะใช้วิธีที่สองมากกว่า ถ้าเป็นทางเลือกแรกเราก็ต้องรับคนมาก
ต้องมานั่งจัดคนกันอีกมันไม่สนุก เราเป็นบริษัทของคนออกแบบ เป็นงานที่เกี่ยวกับความคิด
ทำงานกับคนที่มีคุณภาพ ไม่ต้องมีคนมากทำงานด้วยแล้วมีความสุขดี" ปุณลาภอธิบายแนวคิดเกี่ยวกับองค์กรของเขาให้ฟัง
การขยายตัวของสามหน่อโรงเรียนที่ให้โอกาสแก่สาธิต ปุณลาภ และวิเชียรได้มีประสบการณ์ทางด้านธุรกิจบริการออกแบบ
จากพนักงาน 17 คน เพิ่มเป็น 23 จนถึง 45 คน การเปลี่ยนแปลงของ "คน"
และ "ระบบ" ที่เกิดขึ้นในสามหน่อน่าจะมีส่วนสำคัญในการตัดสินใจกำหนดการสร้างองค์กรในสภาพแวดล้อม
ที่ทั้งสามอยากจะให้เป็นขึ้นมาใหม่ โดยครั้งนี้ทั้งสามพยายามควบคุมการเติบโตของกิจการในแง่ของกำลังคน
และหันมาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของคนในองค์กรมากกว่า
ความคิดของพวกเขาเป็นแนวทางการบริหารธุรกิจที่กำลังได้รับการพูดถึงและหลาย
ๆ องค์กรทำกำลังปรับมาใช้เพื่อ "ยกเครื่อง" องค์กรให้มีขนาดเล็กบาง
คล่องตัว แต่มีประสิทธิภาพ
หลังจากที่ชื่อของโปรประกันดาปรากฏอยู่ในทำเนียบรางวัลต่าง ๆ แน่นอนว่างานที่จะเข้ามาก็ต้องมากขึ้น
ผลประโยชน์ทางธุรกิจจะพิสูจน์ว่าโปรปะกันดาจะหนีวงจรของบริษัทขนาดใหญ่ ใช้คนมากไปได้หรือไม่