ธุรกิจรพ.เอกชนขนาดเล็กเดี้ยง เตรียมสบอก อาร์เอสยู เฮลท์แคร์


ผู้จัดการรายวัน(15 กันยายน 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

“อาร์เอสยู เฮลท์แคร์” เผยธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนขนาดเล็กกำลังแย่ เหตุเจอโรงพยาบาลขนาดใหญ่แย่งซื้อตัวแพทย์ เร่ขายกิจการด่วน เผยมีติดต่อเข้ามาหลายราย มองใน 3 ปีสยายปีกลุยธุรกิจโรงพยาบาลแน่ ล่าสุดควักกระเป๋า 150 ล้านบาท ผุดศูนย์ อาร์เอสยู เฮลท์แคร์ อีก 3 ศูนย์ หวังกวาดรายได้รวมในปีนี้ไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท พร้อมโฟกัสลูกค้าต่างชาติที่ 30% ใน 5 ปี

นายอภิวัฒิ อุไรรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาร์เอสยู เฮลท์แคร์ จำกัด ผู้ให้บริการด้านสุขภาพเฉพาะทางซึ่งเป็นธุรกิจในกลุ่มมหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่า สถานการณ์ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนขนาดเล็ก ไม่เกิน 100 เตียงในขณะนี้ กำลังตกอยู่ในภาวะลำบาก เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงจากโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ ที่นอกจากจะดึงลูกค้าให้มีจำนวนลดลงแล้ว ยังรวมไปถึงแพทย์ที่นิยมอยู่โรงพยาบาลขนาดใหญ่และมีชื่อเสียงมากกว่า จึงทำให้เกิดปัญหาการซื้อตัวแพทย์อยู่ในขณะนี้

ดังนั้นโรงพยาบาลเอกชนขนาดเล็กหลายรายในขณะนี้ จึงมีความประสงค์ที่จะขายกิจการหรือต้องการให้มีผู้เข้าไปช่วยบริหารจัดการโรงพยาบาลให้ใหม่ ที่ผ่านมาหลังจากที่บริษัทฯได้เปิดให้บริการศูนย์ทันตกรรมครบวงจรหรือ เด็นทัล เซนเตอร์ ณ อาคารวานิช ถนน เพชรบุรี ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีโรงพยาบาลเอกชนและคลินิก รวมแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ราย ติดต่อเข้ามาขอให้ทางบริษัทฯเข้าไปเทคโอเวอร์ หรือขอให้เข้าไปบริหารจัดการให้นั้นเอง

“การเปิดโรงพยาบาลนั้น ถือเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่จะช่วยเสริมกับศูนย์บริการสุขภาพกว่า 4 สาขาในปีนี้ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเข้าสู่ธุรกิจโรงพยาบาลได้หลัง 3 ปีนับจากนี้ เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ต้องมีการลงทุนสูงอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งหากจะต้องเปิดให้บริการจริง บริษัทฯจะเน้นเข้าไปซื้อกิจการโรงพยาบาลที่เปิดให้บริการอยู่ก่อนแล้วมากกว่า”

โดยในปีนี้บริษัทฯจะเน้นเปิดศูนย์บริการมากกว่า โดยในช่วงปลายปีนี้บริษัทฯได้จัดสรรงบลงทุนกว่า 150 ล้านบาท เพื่อเปิดศูนย์ให้บริการเพิ่มขึ้นอีก 3 ศูนย์ ได้แก่ ศูนย์ดูแลสุขภาพ หรือ เฮลท์แคร์ เซ็นเตอร์ ในเดือนตุลาคม ศูนย์รักษาตา หรือ อาย เซ็นเตอร์ ในเดือนพฤศจิกายน และศูนย์สายตาและคอนแทคเลนส์ หรือ วิชั่น แอน คอนเทค เลนส์ เซ็นเตอร์ ในสิ้นปีนี้ โดยทั้ง 3 ศูนย์ จะเปิดให้บริการที่ อาคารฟินิกส์ สุขุมวิท 31 คาดว่าจะถึงจุดคุ้มทุนได้ใน 3 ปีแรก

ทั้งนี้บริษัทฯได้จัดสรรงบประมาณทางการตลาดสำหรับแต่ละศูนย์ประมาณ 1 ล้านบาท สำหรับการประชาสัมพันธ์ พร้องทั้งหาช่องทางเรียกฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะลูกค้าจากต่างประเทศนั้น ในขณะนี้ทางบริษัทฯได้เตรียมเจรจาปรึกษากับทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เพื่อจัดแพกเกจท่องเที่ยวรวมกับการตรวจสุขภาพรวมเข้าไปด้วย เพื่อดึงลูกค้านักท่องเที่ยวที่ใส่ใจสุขภาพเข้ามาประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มสัดส่วนลูกค้าที่เป็นชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นจากเดิม 2-3 % เป็น 30% ภายในระยะเวลา 5 ปีนับจากนี้

ส่วนลูกค้าในประเทศไทยนั้น บริษัทฯจะใช้กลยุทธ์เจาะไดเร็ก มาร์เก็ตติ้ง จับกลุ่มลูกค้าภายในองค์กร ลูกค้าประกัน โรงเรียน และมหาวิทยาลัยเป็นหลัก เชื่อว่าสิ้นปีจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตามหลังจากนี้ 3 ปี บริษัทฯจะไม่มีการลงทุนเพิ่มหรือขยายศูนย์แต่อย่างไร ทั้งนี้ก็เพื่อดูสถานการณ์และการตอบรับทั้ง 4 ศูนย์ ที่ให้บริการอยู่ ซึ่งถ้าหากได้รับการตอบรับที่ดี บริษัทฯเตรียมที่จะขยายบริการเพิ่มขึ้น รวมทั้งเปิดศูนย์ให้บริการเกี่ยวกับสุขภาพอีก อาทิ เช่น ศูนย์ลดความอ้วน หรือศูนย์เพื่อการเลิกบุหรี่ เป็นต้น


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.