|
กลุ่มปตท.ขยับดันตลาดพุ่ง 10 จุด
ผู้จัดการรายวัน(14 กันยายน 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (13 ก.ย.) ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงเปิดตลาดในภาคเช้าหลังจากที่มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงานค่อนข้างมาก ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่มีมาร์เกตแคปใหญ่ โดยมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มปตท.ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นหลายบริษัทประกอบด้วย หุ้นปตท., หุ้นปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP), หุ้นบริษัทไทยออยล์ (TOP) และหุ้นบริษัทโรงกลั่นน้ำมันระยอง (RRC) นอกจากนี้ก็มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง ส่งผลทำให้ดัชนีตลาดหุ้นปิดที่ 698.19 จุดเพิ่มขึ้น 10.43 จุดหรือ 1.52% โดยมีมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 19,121.07 ล้านบาท
ส่วนการซื้อขายของนักลงทุนรายกลุ่มปรากฏว่า นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 792.83 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 512.93 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 1,305.75 ล้านบาท
นายพิชัย เลิศสุพงษ์กิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ พรูเด้นท์สยาม จำกัด เปิดเผยถึงภาวะตลาดหุ้นในวันนี้ว่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่น เนื่องจากเพิ่มแรงซื้อกลับเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงาน ภายหลังจากที่ก่อนหน้านี้ปรับตัวลดลงเนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลในกรณีปตท. แม้ว่าราคาน้ำมันดิบตลาดโลกจะปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้าง กลุ่มขนส่ง และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง รวมถึงแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในประเทศที่ปรับตัวลดลง ทำให้ราคาหุ้นในกลุ่มส่วนใหญ่ต่างปรับตัวขึ้น
สำหรับสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้หลังจากที่สามารถสรรหาคณะกรรมการชุดใหม่ได้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งน่าจะทำให้การกำหนดวันเลือกตั้งชัดเจนในเร็วๆ นี้ ประกอบกับข่าวที่เกี่ยวข้องกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ที่ส่งสัญญาณว่าอาจจะเว้นวรรคทางการเมือง
นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ UOBKH กล่าวว่าแนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้ คาดว่าดัชนีจะยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อทำให้สามารถยืนที่ 700 จุดได้ จากการที่คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่จะมีการประชุมในสัปดาห์หน้าจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ 5.25% ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงสัปดาห์หน้าเช่นกัน โดยมีแนวรับที่ระดับ 690-695 จุด แนวต้านที่ระดับ 703-705 จุด
ตลท.รับมาร์เกตแคปพลาดเป้า
นายวิจิตร สุพินิจ ประธานคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวถึงกรณีที่ศาลปกครองรับคำร้องให้เพิกถอนปตท.ออกจากตลาดหลักทรัพย์ว่าเรื่องดังกล่าวส่งผลต่อการเพิ่มของมูลค่าตลาดรวม หรือมาร์เกตแคปของตลาดหลักทรัพย์ที่ได้มีการตั้งเป้าไว้ในแผนพัฒนาตลาดทุนไทยฉบับที่ 2(2549-2553) ที่ 10 ล้านล้านบาทต้องเลื่อนออกจากกำหนดเดิม
ทั้งนี้ ในเรื่องการแปรรูปรัฐวิสาหกิจหลังจากนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องใช้ความระมัดระวังและความรอบคอบให้มากขึ้นเพื่อให้กระบวนการต่างๆ เป็นไปตามกฎหมายซึ่งในประเด็นของปตท.ส่งผลกระทบต่อการแปรรูปของรัฐวิสาหกิจอื่นทำให้ล่าช้าออกไปและส่งผลต่อความมั่นใจทางด้านจิตวิทยาของนักลงทุน
ในส่วนของเรื่องการถือครองหุ้นในรัฐวิสาหกิจของภาครัฐ จากปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 75% ส่วนตัวมองว่าระดับดังกล่าวอาจจะสูงไปโดยระดับที่น่าจะถือว่าเหมาะสมน่าจะอยู่ที่ประมาณ 50%
ถอดปตท.กระทบสมาชิกล้านราย
นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กล่าวว่า กบข.ไม่กังวลกับการที่ ปตท. อาจถูกเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯเพราะหากพิจารณาดูเจตนาของผู้ฟ้องเอง ก็ไม่ได้ต้องการจะเห็น ปตท. ถูกเพิกถอนออกจากตลาด แต่ต้องการฟ้องร้องผู้ที่ดำเนินการแปรรูป ปตท. เท่านั้น
ทั้งนี้ หาก ปตท. จะถูกเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ จริงๆ ก็จะเป็นปัญหาว่าจะเอา ปตท. ออกจากตลาดหุ้นได้อย่างไร เพราะการจะไปทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์จากผู้ถือหุ้นทั่วไป (เทนเดอร์ ออฟเฟอร์) ในราคาต่ำๆ ก็คงเป็นไปไม่ได้ ในขณะเดียวกันหากต้องทำเทนเดอร์ในราคาที่สูงๆ ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเอาเงินทุนจากที่ไหน
สำหรับกบข.มีสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ใน ปตท. ประมาณ 20 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท ซึ่งการลงทุนของ กบข. เป็นการถือแทนสมาชิกกว่า 1 ล้านราย ถ้าหาก ปตท. ถูกเพิกถอนออกไป ย่อมส่งผลกระทบต่อสมาชิกและนักลงทุนรายย่อยแน่นอน อย่างไรก็ตาม กบข. ยังไม่ได้ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นปตท. และกลุ่มพลังงานลงแต่อย่างใด
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|