"เปลี่ยนได้หากเป็นมิสทีน" สโลแกนใหม่ของ "มิสทีน"
และพรีเซนเตอร์ใหม่จากเดิมที่เคยใช้สาว ๆ หน้าหวานเคาะประตูหน้าบ้านพร้อมกับสโลแกน
"มิสทีนมาแล้วค่ะ" มาเป็นชายหนุ่มวัยดึก นามอมรเทพ ดีโรจนวงศ์
กรรมการผู้จัดการบริษัทเบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ด้วยท่าทีที่มาดมั่น
เน้นให้เห็นถึงการทำจริง
6 ปีมาแล้ว ที่อมรเทพปลุกปั้น "มิสทีน" สินค้าเครื่องสำอางของบริษัทแบทเตอร์เวย์
(ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือสหพัฒน์ให้ขึ้นมาอยู่แถวหน้ากลายเป็นบริษัทชั้นนำของธุรกิจเครื่องสำอางขายตรงได้อย่างโดดเด่น
ทั้งในแง่ของภาพลักษณ์ และในแง่ของธุรกิจขายตรง ซึ่งเป็นบริษัทในเครือสหพัฒน์เพียงบริษัทเดียวที่นับได้ว่าประสบความสำเร็จตามที่เสี่ยบุญยเกียรติ
โชควัฒนา ผู้ที่ดึงอมรเทพให้เข้ามาทำสินค้าเครื่องสำอางขายตรงต้องการ เพราะช่วงนั้นใคร
ๆ ก็มองว่าตลาดขายตรงจะเป็นตลาดที่เติบโตมากที่สุดในอนาคต
อมรเทพได้ประกาศตัวเมื่อครั้งแรกของการเข้าสู่วงการ ว่าจะต่อสู้กับบริษัทขายตรงที่เคยเป็นยักษ์ใหญ่ในตลาดขายตรงมาก่อนให้ได้
นั่นอาจเพราะอมรเทพผิดหวังกับเอวอนซึ่งเป็นบริษัทที่เขาสร้างมากับมือ และอาจ
เพราะเป็นเป้าหมายที่ท้าทายความสามารถของเขาพอสมควร ทำให้เอวอนเครื่องสำอางขายตรงที่เป็นผู้นำตลาดมานับ
10 ปีในขณะนั้นต้องหันมาพิจารณาตัวเองและเริ่มวางแผนรับมือ
การเอาจริงเอาจังในการบุกตลาดโดยการทำทุกวิถีทาง เพื่อล้มแชมป์อย่างเอวอนให้ได้ในเร็ววันอันเป็นเป้าหมายที่ผู้นำมิสทีนมีความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่นั้น
ต่างเป็นที่วิพากษ์กันในวงการว่าการรุกหนักของมิสทีนด้วยทุกวิถีทางเช่นนี้ความฝันของสหพัฒน์ย่อมอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้เองบทพิสูจน์ของความพยายามอย่างหนักที่อมรเทพได้ทุ่มให้กับมิสทีนก็ได้เผยออกมาให้เห็นอย่างกระจ่างชัดแล้ว
ยอดขายของเครื่องสำอางมิสทีนในวันนี้สามารถเคลมได้ว่า เขากำลังเป็นผู้นำตลาดเครื่องสำอางขายตรงอยู่ในขณะนี้
จากตลาดขายตรงทั้งระบบมูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท คาดว่ามีอัตราเติบโตสูงขึ้นเฉลี่ยปีละกว่า
30% มิสทีนมีส่วนแบ่งอยู่กว่าครึ่งของตลาดเครื่องสำอางขายตรง หรือ 60% ของตลาดขายตรงทั้งระบบ
ซึ่งการกระเถิบตัวเลขยอดขายเข้ามาใกล้เคียงหรือเกือบเท่ากับเอวอน ซึ่งอยู่ในตลาดมานานกว่า
10 ปี และมีรายได้ในปีที่ผ่านมา 1,200 ล้านบาท ย่อมแสดงให้เห็นถึงอัตราการเติบโตของมิสทีนที่ขยายบทบาท
แม้จะมีอายุน้อยกว่าแต่ก็สามารถล้มแชมป์ได้ในเวลาอันรวดเร็ว
ว่ากันตามจริงแล้วการเกิดของมิสทีนเครื่องสำอางในระบบขายตรง เมื่อช่วง
6 ปีที่ผ่านมาซึ่งเริ่มจากยอดขายในปีแรกเพียง 20 ล้านบาท ณ วันนี้สามารถขยับฐานยอดในปี
36 จาก 1,200 ล้านบาทเป็น 1,600 ล้านบาทจากมูลค่าตลาดเครื่องสำอางอีกยี่ห้อหนึ่งที่น่าจับตามอง
จากตัวเลขการเติบโตในแต่ละปีคือ ปี 32 มียอดขาย 20 ล้านบาท ปี 33 มียอดขายเพิ่มขึ้นมาเป็น
210 ล้านบาท ปี 34 สามารถทำยอดขายได้ 600 ล้านบาท ในขณะที่ปี 35 มียอดขายสูงถึง
850 ล้านบาทและปี 36 ยอดขายได้ทะลุเป้าหมายที่ตั้งไว้คือ 1,200 ล้านบาท ที่เป็นเช่นนี้ได้เพราะอมรเทพเดินแผนการตลาดแบบรุกคืบตามประกบเอวอนไปตลอด
หากเอวอนขยับมิสทีนก็จะรุกทันที ประกอบกับเอวอนในขณะนี้ กำลังอยู่ในระหว่างการเปลี่ยนผู้นำ
จากคนไทยมาเป็นคนต่างชาติ ทำให้ต้องใช้เวลาในการศึกษาพฤติกรรมคนไทยอีกนาน
จึงอาจกล่าวได้ว่าเอวอน ณ เวลานี้กำลังสะดุดขาตนเองอยู่จึงทำให้ต้องหยุดมองตนเองและใช้เวลาในการตั้งท่ารับและตอบโต้แทนที่จะเป็นรุกไป
ข้างหน้าอย่างผู้นำ
ปัจจุบันอมรเทพได้รับการยกย่องจากวงการว่าเป็นเจ้าพ่อขายตรง เพราะเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาธุรกิจขายตรงอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด
ขณะเดียวกันเขายังเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ริเริ่มก่อตั้งสมาคมขายตรง เพื่อยกระดับคุณภาพนักขายตรง
และปัจจุบันเขาก็เป็นนักขายตรงคนเดียวที่ได้รับเกียรติให้ดำรงตำแหน่งนี้นานที่สุดถึง
3 สมัยด้วยกัน และยังเป็นผู้นำมิสทีนให้ได้ชื่อว่า เป็นผู้นำของตลาดเครื่องสำอางขายตรง
ในอีกทางหนึ่ง
ขณะเดียวกันบริษัทเบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือสหพัฒน์ที่ร่วมกันก่อตั้งเมื่อ
6 ปีที่แล้วบัดนี้ ก็สามารถพิสูจน์ตนเองได้ว่าเป็นบริษัทขายตรงบริษัทเดียวที่ทำรายได้ให้กับสหพัฒน์สูงที่สุดในกลุ่มธุรกิจขายตรงด้วยกัน
กลุ่มธุรกิจขายตรงซึ่งเป็นบริษัทในเครือของสหพัฒน์ในเวลานี้ ล้วนจบเกมธุรกิจไปแล้วแทบทั้งสิ้น
อาทิ บริษัทซีซีดี หรือ ซีซีไดเร็คมาร์เก็ตติ้ง ซึ่งมีเปรื่อง มังกรแก้วเป็นกรรมการผู้จัดการ
ขายเครื่องสำอางโซเซีย บริษัท วีน ขายชุดชั้นใน เวียนนา และอมรเร่ซึ่งเป็นเครื่องสำอางที่วางตำแหน่งของสินค้าไว้ที่เป็นเครื่องสำอางชุดเครื่องบำรุงผิว
ที่ค่อนข้างมีราคาสูง การที่กลุ่มธุรกิจขายตรงของบริษัทในเครือสหพัฒน์ไม่สามารถประสบความสำเร็จได้เป็น
เพราะขาดทีมงานที่มีประสิทธิภาพ และประสบการณ์ความชำนาญพิเศษในธุรกิจนี้โดยเฉพาะ
"คนที่เข้าในในเรื่องของตลาดขายตรงเท่านั้น จึงจะทำตลาดนี้ได้สำเร็จ"
อมรเทพ กล่าวไว้เช่นนั้น
และเพราะสาเหตุนี้กระมังจึงทำให้มิสทีนเป็นบริษัทเดียวในเครือสหพัฒน์ที่สามารถทำรายได้เติบโตทวีได้เช่นในปัจจุบันนี้