หลังจากแยกตลาดรับผิดชอบกันมากว่า 100 ปี ในที่สุด บริษัทการค้าเก่าแก่จากสวิสเซอร์แลนด์ทั้ง
2 แห่ง คือ ดีทแฮล์ม อา เก กับเอ็ดเวิร์ด เคลเลอร์ อา เก ก็ตัดสินใจรวมกิจการเข้าด้วยกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นักการตลาดมองกันว่าการประกาศรวมกิจการกันของทั้งคู่ ถือเป็นการปรับกลยุทธครั้งสำคัญ
ของทั้ง 2 บริษัท เพื่อปกป้องฐาน ที่มั่น ที่ตนเองครองอยู่มานาน ท่ามกลางกระแสทุนจากตะวันตก
ที่เริ่มหลั่งไหลเข้ามาในย่านเอเซียมากขึ้น หลังจากประเทศในภูมิภาคนี้ ต้องประสบกับวิกฤติทางเศรษฐกิจมาเป็นเวลากว่า
3 ปี
"ประเทศในย่านเอเซีย ยังน่าลงทุน โดยเฉพาะเมื่อจีนได้เข้าเป็นสมาชิก WTO
และสงครามเย็นระหว่าง 2 เกาหลีเริ่มผ่อนคลายลง"นักการตลาดผู้นี้กล่าว
"แม้กระทั่งประธานาธิบดีบิลล์ คลินตัน ยังต้องลงทุนเดินทางมาเยือนเวียตนาม
เพื่อสานต่อความสัมพันธ์ทางการค้า"เขาย้ำ
ทั้งดีทแฮล์ม และเอ็ดเวิร์ด เคลเลอร์ ได้เข้ามาสร้างฐานการตลาดในเอเซียมาเป็นเวลาช้านาน
โดยทั้ง 2 บริษัทมีกิจการที่คล้ายคลึงกัน เน้นหนักไปทางผลิตภัณฑ์ด้านอาหาร
ยา เคมีภัณฑ์ และอุปกรณ์ก่อสร้าง รวมถึงการท่องเที่ยว
ในช่วง 100 กว่าปีที่ผ่านมา สาขา และบริษัทในเครือของทั้ง 2 บริษัท ได้สร้างพอร์ตธุรกิจของตนเองขึ้นมา
ครอบคลุมทั้งด้านการค้า การจัดจำหน่าย การทำตลาด รวมถึงการรับจ้างผลิตสินค้าให้ผู้อื่น
และสร้างแบรนด์สินค้าของตนเองขึ้นมา
แม้ทั้ง 2 บริษัทจะมีความเกี่ยวโยงกันโดยสายสัมพันธ์ด้านเครือญาติ และมีการถือหุ้นไขว้กันไปมา
แต่ทั้งคู่ก็แบ่งโซนความรับผิดชอบ ที่ชัดเจนไม่แย่งตลาด และลูกค้า ซึ่งกัน และกัน
เอ็ดเวิร์ด เคลเลอร์ จะมีฐานใหญ่อยู่ในจีน ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลี อินโดนีเซีย
ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
ส่วนฐานใหญ่ของดีทแฮล์ม อยู่ในสิงคโปร์ ไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ พม่า ลาว
กัมพูชา และเวียตนาม
โดยในประเทศไทย มีบริษัทดีทแฮล์ม ประเทศไทย เป็นผู้ครองตลาดผลิตภัณฑ์ยารักษาโรค
และเคมีภัณฑ์ และธุรกิจท่องเที่ยวเป็นส่วนใหญ่ โดยมียอดขายสูงถึงหว่า 30,000
ล้านบาท
"เราคาดว่าในปี 2543 เราจะมียอดขายรวมประมาณ 34,000 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น
21.5% จากปีก่อน และในปีหน้า เราตั้งเป้าว่าจะมียอดขายเพิ่มขึ้นอีก 12%"เรนาโต
เพ็ตทรูซซิ ประธานอำนวยการบริหาร ดีทแฮล์ม ประเทศไทย กล่าว
ดีทแอล์ม และเอ็ดเวิร์ด เคลเลอร์ ถือกำเนิดขึ้นจากความมุ่งมั่นของชายหนุ่มชาวสวิส
2 คน คือ วิลเฮล์ม ไฮน์ริค ดีทแฮล์ม แห่งเออร์เลน และเอ็ดเวิร์ด แอนตอน เคลเลอร์
แห่งนอยเคียร์ช ที่ต้องการเดินทางออกมาก่อร่างสร้างตัวนอกประเทศบ้านเกิด
ในกลางศตวรรษ ที่ 19
ทั้งเอ็ดเวิร์ด เคลเลอร์ และวิลเฮล์ม ดีทแฮล์มมีเส้นทางเดิน ที่คล้ายกันหลายออย่าง
เริ่มจากทั้งคู่เกิดในปี 1848 และมีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบสวิสเซอร์แลนด์ตะวันออกเช่นกัน
จึงมีการตั้งสมมุติฐานว่าทั้งคู่เคยสนิทสนมกันมาก่อนตั้งแต่อยู่ในวันหนุ่ม
ก่อนออกเดินทางมาเสี่ยงโชคนอกสวิสเซอร์แลนด์
ในปี 1868 เคลเลอร์ได้เดินทางมาถึงฟิลิปปินส์ และเริ่มต้นเข้าทำงานในบริษัทลุทช์
อีก 3 ปีต่อมา ดีทแฮล์มได้เดินทางมาถึงสิงคโปร์ในปี 1871 โดยเริ่มงาน ที่บริษัทฮูคลานด์ท
บริษัทลุทช์ เป็นบริษัทการค้าของชาวสวิส ตั้งอยู่ในกรุงมานิลา ส่วนบริษัทฮูคลานด์ท
เป็นบริษัทการค้าของชาวดัทช์ ก่อตั้งขึ้นประมาณปี 1780 ที่ประเทศฮอลแลนด์
และเริ่มขยายกิจการเข้ามาในอินโดนิเซีย และสิงคโปร์ในช่วงต้นศตวรรษ ที่ 19
เอ็ดเวิร์ด เคลเลอร์ ทำงานในบริษัทลุทช์เพียง 9 ปี ในปี 1877 เขาก็ได้เข้ามาเป็นหุ้นส่วนในบริษัทแห่งนี้
และต่อมาอีก 10 ปี เขาก็ได้ซื้อหุ้นไว้ทั้งหมด 100% ในปี 1887
ส่วนวิลเฮล์ม ดีทแฮล์ม ได้เริ่มเป็นหุ้นส่วนของบริษัทฮูคลานด์ท ในปี 1877
เช่นกัน และใช้เวลา 10 ปี หลังจากนั้น สามารถรวบรวมหุ้น จนได้กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทแห่งนี้
"ทายาทของฮูคลานด์ท ที่ยังเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อยในดีทแฮล์มอยู่ เพิ่งจะขายหุ้นให้กับเจ้าของในปัจจุบันเมื่อปลายปีที่แล้ว(2542)"แอนเดรียส
เคลเลอร์ ประธานกรรมการ ดีทแฮล์ม เคลเลอร์ โฮลดิ้ง กล่าว
หลังจากเคลเลอร์ และดีทแฮล์มมีกิจการค้าเป็นของตัวเองในปี 1887 ทั้ง 2 ก็ได้มาเปิดสาขาในเมืองซูริค
สวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นดินแดนบ้านเกิด
สายสัมพันธ์ของทั้งเคลเลอร์ และดีทแฮล์ม เริ่มแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นในปี 1914
เมื่อวิลลี่ เอ็ม เคลเลอร์ ลูกชายของเอ็ดเวิร์ด เคลเลอร์ ได้เข้าพิธีสมรสกับแอนนา
เอ็ช ดีทแฮล์ม ลูกสาวของวิลเฮล์ม ดีทแฮล์ม การแต่งงานของทั้ง 2 ถือเป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้ทั้งเคลเลอร์ และดีทแฮล์ม
มีการถือหุ้นไขว้กันไปมา เมื่อมีการขยายสาขา หรือขยายกิจการออกไปในภายหลัง
ปัจจุบันทั้งดีทแฮล์ม และเอ็ดเวิร์ด เคลเลอร์ มีพนักงานอยู่ทั่วประเทศ 15,000
คน และมียอดขายรวมประมาณ 4,000 ล้านฟรังค์สวิส
การรวมตัวของทั้ง 2 คู่ กระทำโดยการจัดตั้งบริษัทดีทแฮล์ม เคลเลอร์ โฮลดิ้งขึ้นมา
เพื่อเข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในกิจการในเครือ ที่มีอยู่ทั่วโลก แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ในย่านเอเซีย
ดีทแฮล์ม เคลเลอร์" โฮลดิ้ง มีแอนเดรียส เคลเลอร์ เป็นประธานกรรมการ โดยมีเอริค
ฮุนซิกเกอร์ เป็นประธานกรรมการบริหาร
ลักษณะการทำงานทุกอย่างยังคงเดิม แต่มีการจัดโครงสร้างธุรกิจในเครือใหม่
โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มธุรกิจหลัก ประกอบด้วย
1.Diethelm Keller Services Asia เป็นการรวมธุรกิจการค้าทั้งหมด เข้าเป็นหน่วยงาน ที่ให้บริการแก่ลูกค้าทั่วทวีปเอเซีย
2.Diethelm Keller Manangement & Investment เป็นผู้บริหารแบรนด์สินค้า และบริการที่เป็นของตนเอง
3.Diethelm Trevel Asia ให้บริการเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นธุรกิจ ที่กำลังขยายตัวอยู่ในภูมิภาคนี้
4.STA-Trevel ดูแลการท่องเที่ยวของกลุ่มนักศึกษา และหนุ่มสาว ประเภท Back
Packer ที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในย่านนี้เช่นกัน
นอกจากนี้ ทุกบริษัท ที่อยู่ในเครือ จะเปลี่ยนมาใช้ตราสัญญลักษณ์เดียวกัน
เป็นรูปต้นกล้วยพัด(Fan Tree)
"ต้น Fan Tree ไม่เพียงแลดูสวยงามเท่านั้น ยังเป็นต้นไม้ ที่แข็งแกร่ง ทนทาน
อายุยืน มันจะลู่ไปตามลม ไม่โค่นล้ม กิ่งใบแผ่เป็นวงกลม เหมือนจะโอบอุ้มกิจการในกลุ่มดีทแฮล์ม
และเอ็ดเวิร์ด เคลเลอร์เข้าด้วยกัน สีแดงของสัญญลักษณ์ เตือนให้เรานึกถึงสวิสเซอร์"แลนด์
บ้านเกิด"แอนเดรียส เคลเลอร์ อธิบายถึงความหมายของสัญญลักษณ์ดังกล่าว
"ความจริง FanTree ไม่ใช่สิ่งใหม่ สัญญลักษณ์นี้เคยได้รับการจดทะเบียนเป็นเครื่องหมายการค้าของดีทแฮล์ม
ที่ไซ่ง่อน และไฮฟองมาแล้วในศตวรรษ ที่ 19 และใช้ในประเทศไทยในศตวรรษ ที่ 20"เขาเสริม
"การควบกิจการกันระหว่างดีทแฮล์ม และเคลเลอร์ จะไม่มีผลต่อโครงสร้างทางด้านกฏหมาขของบริษัทในประเทศไทย"เรนาโต
เพ็ตทรูซซิ กล่าว
เขาบอกว่าบริษัทดีทแฮล์ม สาขาประเทศไทย ยังคงเป็นสาขาหนึ่งของบริษัทดีทแฮล์ม
อา เก จากสวิสเซอร์แลนด์ แต่สิ่งที่จะเปลี่ยนคือ ตราสัญญลักษณ์ของบริษัท ที่จะเป็นรูปต้นกล้วยพัด
นอกจากนี้การรวมกิจการกันของทั้ง 2 บริษัท จะทำให้ทั้งคู่เป็นกลุ่มบริษัท ที่มีเครือข่าย ที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งหนึ่งในย่านเอเซีย
ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทคู่ค้า
การรวมตัวกันของทั้ง 2 บริษัท ทำให้ฐานการผลิต และการตลาดของทั้งคู่แข็งแกร่งขึ้น
จนน่าติดตามดูว่ากลุ่มบริษัทจากยุโรปแห่งนี้ จะมีบทบาทต่อธุรกิจในย่านเอเซียต่อไปอย่างไรในช่วงหลังจากนี้