ตอนที่ "ฟีบัส หว่อง" ตั้งบริษัทผลิตเครื่องนุ่งห่มขึ้นในชานเมืองโตรอนโต
เขาไคาดคิดมาก่อนว่าลูกค้าที่ดีที่สุดของเขาจะเป็นรัฐบาลแคนาดา
ทุกวันนี้หว่อง-รองประธานและกรรมการบริษัท "อาร์คเทกซ์ สปอร์ตสแวร์องค์"
เป็นผู้จัดหาและผลิตเครื่องแต่งกายทุกอย่างให้กับกองทัพแคนาดา ตั้งแต่ชุด
"พาร์คา" (PARKA) ซึ่งเป็นเสื้อแจ็กเก็ตกันหนาวและกันน้ำ มีหมวกในตัว
แบบชุดที่คนเอสกิโมสวม สำหรับใช้ในเขตอาร์ติคไปจนถึงเสื้อกั๊กของตำรวจม้า
แจ็กเก็ตนักบินและชุดเสื้อกางเกงติดกันสำหรับทหาร
"งานที่ได้จากรัฐบาลไม่ได้ทำให้เรารวย แต่ก็ทำให้เราอยู่รอดได้ เหมือนขนมปังกับเนยที่เป็นอาหารประจำไม่ได้เอร็ดอร่อยอะไร
แต่ก็ทำให้ท้องอิ่มได้" หว่องกล่าว
สัญญาว่าจ้างให้ผลิตเครื่องแต่งกายสำหรับกำลังพลในกองทัพจากรัฐบาลแคนาดา
มาถึงหว่องในจังหวะที่เหมาะสมที่สุดตอนที่เขาร่วมหุ้นกับเพื่อนชื่อ "อาร์ชี่
โซ" กู้เงินจากธนาคาร 312,500 ดอลลาร์สหรัฐ โดยเอาบ้านเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเพื่อจะตั้งบริษัทอาร์ตเทกซ์เมื่อ
4 ปีที่แล้ว เป็นเวลาที่เศรษฐกิจของแคนาดากำลังตกต่ำในตอนแรกๆ หว่องผลิตชุดสกีแบบติดกันเป็นชิ้นเดียว
และชุดสกีแบบอื่นๆ เพื่อเจาะตลาดระดับสูงที่นิยมสินค้าติดยี่ห้อดังๆ นอกจากนั้นอาร์ตเทกซ์ยังขึ้นชื่อในเรื่องการรับออร์เดอร์ที่เร่งๆ
และจับกลุ่มธุรกิจขายเสื้อผ้าที่ไม่สามารถนำเข้าสินค้าต่างประเทศได้ เพราะข้อจำกัดเรื่องโควต้านำเข้าที่เข้มงวด
เศรษฐกิจที่ยังถดถอยทำให้หว่องเกิดปัญหา อาร์ตเทกซ์พบว่าไม่อาจจะสู้สินค้านำเข้าราคาถูกกว่าจากเอเชียใต้ซึ่งอาศัยความได้เปรียบด้านค่าแรงที่ต่ำกว่า
สัญญาจากรัฐบาลได้เข้ามาช่วยในขณะที่เขาไม่มีอะไรในมือ ปีที่แล้วรายได้จากการส่งเสื้อผ้าให้กับรัฐบาลคิดเป็น
60% ของยอดขายอาร์ตเทกซ์ 3.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่เหลือ 30% ส่งออกไปอังกฤษและกรีนแลนด์
ส่วนตลาดในประเทศแคนาดาตกประมาณ 10%
แต่การทำงานกับรัฐไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย เจ้าหน้าที่จากรัฐบาลกลางมักจะมากตรวจโรงงานดูการผลิตซึ่งหว่องเช่ามาเดือนละ
8,500 เหรียญ โรงงานนี้ตั้งอยู่ที่สการ์โบโร ย่านชานเมืองที่พลุกพล่านทางตะวันออกของโตรอนโต
และเป็นถิ่นที่อยู่ของพวกฮ่องกงอพยพ สเปกเครื่องแต่งกายแต่ละประเภทมีรายละเอียดและข้อกำหนดมากมาย
เป็นต้นว่าเสื้อโค้ตสีน้ำเงินของทหารเรือ จะต้องบุด้วยฉนวนกันความเย็น "THINSULATE"
ของ "3 เอ็ม" เพื่อให้ร่างกายยังอบอุ่นในอุณหภูมิ -40 องศาเซลเซียส
พนักงาน 90 คนของอาร์ตเทกซ์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวแคนาดาเชื้อสายเอเชียต้องเล็มขอบฮู้ดด้วยขนของตัววูลเวอรีนให้มีความกว้าง
5 เซนติเมตร และต้องเย็บแถบดิ้นสะท้อนแสงสีเหลืองห่างจากชายเสื้อหรือกางเกง
64 มิลลิเมตร
กำไรที่จะได้จากงานของรัฐบาลก็น้อยกว่าที่จะขายให้รายอื่น เพราะกระบวนการประมูลที่แข่งขันกันมาก
และยังเป็นการเพิ่มงานอีกจุกจิก ในชั้นแรกอาร์ตเทกซ์ต้องยื่นหลักฐานการเงินและอื่นๆ
ก่อนที่จะได้เข้าไปอยู่ในบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเข้าร่วมการประมูล เมื่อปี
2535 เพิ่งจะมีการปรับปรุงระบบทำสัญญากับรัฐ โดยเปิดโอกาสให้บริษัทต่างๆ
เข้ามาประมูลได้มากขึ้น ปัจจุบันหว่องต้องจ่ายเงินปีละ 200 ดอลลาร์สหรัฐ
เพื่อจะได้รายการประมูลแต่ละแห่งซึ่งอยู่ในคอมพิวเตอร์
หว่องเกิดที่ฮ่องกง เขาได้ปริญญาด้านการบริหารธุรกิจและจัดการอง๕การจาก
"โอเพ่น คอลเลจ" ของมหาวิทยาลัยอีสต์เอเชียที่มาเก๊า เขาผ่านการทำงานกับธนาคารมาแล้วหลายแห่ง
ส่วนใหญ่เป็นงานด้านการค้าต่างประเทศ หว่องกับโซซึ่งเป็นเพื่อนสนิทสมัยเป็นนักเรียนไฮสกูลที่คิงสคอลเลจที่ฮ่องกงกับหุ้นส่วนอีก
3 คนที่นั่นได้ตั้งบริษัทเทรดดิ้ง ส่งออกเสื้อหนาวไปยังแคนาดา สหรัฐและยุโรป
หลังจากครอบครัวและญาติพี่น้องของเขาอพยพมาอยู่แคนาดา หว่องและเวโรนิกา-ภริยา
กับลูกอีก 2 คนจึงได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานที่โตรอนโตเมื่อปี 2528 หว่องทำงานเป็นนักวิเคราะห์ในแผนกอัตราแลกเปลี่ยนที่ธนาคาร
"โตรอนโตโดมิเนียน" อยู่ช่วงสั้นๆ ก่อนจะทำธุรกิจการ์เม้นท์ของตัวเอง
การเป็นผู้ประกอบการแบบแคนาดาก็ทำให้หว่องต้องปรับตัวเหมือนกัน นอกจากเรื่องของเงินเดือนแล้ว
บริษัทต้องจ่ายเงินช่วยสวัสดิการสังคมให้ลูกจ้างถึง 6 โครงการตามข้อกำหนดของรัฐและจังหวัด
คิดเป็น 25% สำหรับลูกจ้างแต่ละคน โครงการสวัสดิการของรัฐบาลกลางได้แก่ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพและประกันการไม่มีงานทำ
ขณะที่กฎหมายท้องถิ่นจะต้องให้นายจ้างจ่ายภาษีสุขภาพ เงินชดเชยสำหรับลูกจ้างที่บาดเจ็บ
เงินสำหรับการพักร้อนและในวันหยุดราชการต้องจ่ายเงินให้ลูกจ้างด้วย
หว่องกำลังเจอปัญหาเรื่องแหล่งวัตถุดิบในอเมริกาเหนือ เขากล่าวว่าการหาผู้ผลิตผ้าในแคนาดายากยิ่งกว่าในฮ่องกง
ซึ่งมีซัพพลายเออร์อยู่เต็มไปหมด เขายังต้องทำใจกับวิธีการทำธุรกิจแบบตะวันตกที่ไปอย่างช้าๆ
"ที่ฮ่องกงถ้าเราขอให้ซัพพลายเออร์โค้ดราคามาให้ เราก็จะได้ในวันเดียวเลย
แต่ที่นี่กว่าจะได้อาจจะเป็น 3 วัน หรือไม่ก็ 3 อาทิตย์ !" หว่องเปรียบเทียบ
แต่หว่องก็ไม่ได้เสียใจอะไรนักที่ได้ทิ้งงานมั่นคงจากแบงก์มาเสี่ยงกับธุรกิจเสื้อผ้า
"เดี๋ยวนี้สบายขึ้น เพราะเรารู้ชัดว่าตลาดของเราอยู่ตรงไหน อีกอย่างผมชอบเป็นนายของตัวเอง"
หว่องกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม