|
ถอนหุ้นปตท.พ่วงลูกฉุดมาร์เกตแคปหด 1.5 ล้านล้าน
ผู้จัดการรายวัน(8 กันยายน 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
จากการรวมรวบข้อมูลของ "ผู้จัดการรายวัน" เกี่ยวกับมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดหรือมาร์เกตแคปของหุ้นบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและบริษัทเครืออีก 6 บริษัท ประกอบด้วย บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP, บริษัท โรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด (มหาชน) หรือ RRC, บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP, บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TPI, บริษัท อะโรเมติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ATC, บริษัท ปตท.เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTCH
ทั้งนี้ ข้อมูล ณ วันที่ 6 กันยายน พบว่า 7 บริษัทดังกล่าวมีมาร์เกตแคปรวมกันถึง 1.479 ล้านบาท หรือคิดเป็น 28.88% เมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดรวมของทั้งตลาดซึ่งอยู่ที่ 5.12 ล้านล้านบาท
สำหรับ หุ้น PTT ณ วันที่ 6 กันยายน มีมาร์เกตแคปอยู่ที่ 667,494 ล้านบาท ขณะที่ราคาปิดที่ 238 บาท, หุ้น PTTEP มีมาร์เกตแคปอยู่ที่ 364,689 ล้านบาท ขณะที่ราคาปิดที่ 111 บาท, หุ้น TPI มีมาร์เกตแคปอยู่ที่ 143,325 ล้านบาท ขณะที่ราคาปิดที่ 7.35 บาท, หุ้น TOP มีมาร์เกตแคปอยู่ที่ 125,461 ล้านบาท ขณะที่ราคาปิดที่ 61.50 บาท, หุ้น PTTCH มีมาร์เกตแคปอยู่ที่ 88,794 ล้านบาท ขณะที่ราคาปิดที่ 78.50 บาท, หุ้น RRC มีมาร์เกตแคปอยู่ที่ 56,467 ล้านบาท ขณะที่ราคาปิดที่ 19.70 บาทและหุ้น ATC มีมาร์เกตแคปอยู่ที่ 32,963 ล้านบาท ขณะที่ราคาปิดที่ 34 บาท
ทั้งนี้ กระบวนการในเรื่องการถอดบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ออกจากเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งอยู่ในขั้นตอนกระบวนการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุดหลังจากวันที่ 4 กันยายนที่ผ่านมา ได้รับคำร้องกรณีที่มูลนิธิคุ้มครองเพื่อผู้บริโภคยื่นหนังสือเพื่อให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) กำหนดอำนาจสิทธิประโยชน์ของบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) พ.ศ. 2544 และพ.ร.ฎ.กำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมาย ว่าด้วยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ.2544 โดยกำหนดให้เป็นคดีหมายเลขดำที่ ฟ.47/2549
อย่างไรก็ตาม มีการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมา หากศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งในกรณีดังกล่าวว่าจะส่งผลกระทบไปถึงบริษัทในเครือหรือไม่ แต่ในเรื่องดังกล่าวจะต้องแบ่งผลกระทบที่จะเกิดขึ้นออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1.บริษัทในกลุ่มที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ก่อนวันที่ 6 ธันวาคม 2544 ซึ่งเป็นวันที่บริษัทปตท. เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ คือ บริษัทปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม และ 2.บริษัทในเครือที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯหลังจากที่บมจ.ปตท.เข้าจดทะเบียนไปแล้ว ซึ่งประกอบด้วยบริษัทโรงกลั่นน้ำมันระยอง, บริษัทไทยออยล์, บริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย,บริษัทอะโรเมติกส์ (ประเทศไทย) และบริษัท ปตท.เคมิคอล
แหล่งข่าวบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวว่า เรื่องการยื่นถอดถอนบมจ.ปตท.จากการเป็นบริษัทจดทะเบียน ขณะคงพูดอะไรไม่ได้มากเนื่องจากอยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาของศาล ซึ่งหากศาลมีคำสั่งถอดปตท.ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นค่อนข้างมาก เนื่องจากปัจจุบันสัดส่วนของมาร์เกตแคปบริษัทในเครือสูงถึงเกือบ 30% เมื่อเทียบกับมาร์เกตแคปตลาดรวม
ทั้งนี้ หากเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นจริงบริษัทที่จะถูกถอดออกไปด้วย คือบริษัทในเครือที่เข้าจดทะเบียนหลังปตท. ซึ่งมีเพียงบริษัทปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม เป็นบริษัทเดียวที่เข้าจดทะเบียนก่อน
อย่างไรก็ตาม เรื่องการถอดถอนปตท.เชื่อว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นเนื่องจากบริษัทเข้าจดทะเบียนมานานแล้ว ประกอบกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นค่อนข้างมากกับตลาดทุนหากมีการถอดถอนบริษัทขนาดใหญ่ออกไป ซึ่งเป็นการยากที่จะประเมินดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ หากไม่มีบริษัทปตท.และบริษัทในเครือจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เนื่องจากจะต้องคำนวณถึงความมั่นใจและความน่าสนใจของตลาดหุ้นในสายตานักลงทุนต่างประเทศประกอบด้วย
"เราคงคำนวณดัชนีที่ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวไปอยู่ได้ยากหากปตท.หุ้นยักษ์ใหญ่ในตลาดหุ้นถูกถอดไป เพราะนักลงทุนต่างชาติคงหมดความมั่นใจในตลาดหุ้นไทยไปมากขณะที่ความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทยจะลดลงไปมากอีกด้วย" แหล่งข่าวกล่าว
นายสุกิจ อุมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ นครหลวงไทย จำกัด กล่าวว่า ส่วนตัวเชื่อว่าโอกาสในการถอดถอนมีน้อยมาก ส่วนเรื่องผลกระทบหากเกิดขึ้นจริงก็ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อบริษัทในเครือ เนื่องจากเป็นกระบวนการที่ยื่นถอดถอนบริษัทเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|