"ชาร์เตอร์โฮลดิ้ง ซื้อลูกเดียว"


นิตยสารผู้จัดการ( มิถุนายน 2537)



กลับสู่หน้าหลัก

แล้วก็ถึงเทศกาลซื้อของถูกอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งคราวนี้คือรอบของการขายอาคารสูงโดยเฉพาะอาคารสำนักงาน ที่เกิดขึ้นจนเกินความต้องการเพราะแห่สร้างกันจนพื้นที่เหลือมากเกินไป

ชาร์เตอร์โฮลดิ้ง จึงถูกก่อตั้งมา โดยเป็นที่รวมของนักธุรกิจฮ่องกง มาเลเซีย และไทย ที่เพิ่งขอจดทะเบียนเป็นบริษัทเมื่อเร็วๆ นี้ ผู้ที่รับหน้าที่ดำเนินงานให้กับชาร์เตอร์โฮลดิ้งคือ ชายหนุ่มวัย 30 เศษ จากมาเลเซีย ที่ชื่อว่า "สตีเวน เซีย"

สตีเวน เซีย ในขณะนี้คือประธานของบริษัทซีเฟรชอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และเขาคือผู้ถือหุ้นใหญ่ในชาร์เตอร์โฮลดิ้งด้วยเช่นกัน

สตีเวนสามารถพูดไทยได้ชัดเจน แม้จะมีสำเนียงเพี้ยนบ้างเล็กน้อย แต่ก็สื่อสารกันได้อย่างสบาย รวมไปถึงการอ่านหนังสือไทย เขาก็อ่านได้สะกดถูก เพราะใช้ชีวิตอยู่เมืองไทยมานานกว่า 20 ปีแล้ว

สตีเวนไม่ค่อยพูดถึงภูมิหลังในมาเลเซียมากนัก โดยบอกเพียงว่าเขาเรียนจบมาจากมาเลเซีย แต่ไม่ได้เป็นวุฒิการศึกษาที่จะช่วยให้เขาสามารถหางานดีๆ ทำได้แต่อย่างใด จึงเข้ามาในไทยโดยปักหลักอยู่ที่ชุมพร ในอาชีพตังเกเรือหาปลา

"ผมเป็นลูกทะเล" สตีเวนยืนยันและกล่าวถึงอย่างภาคภูมิใจ

ถ้าเขายังทำงานเพียงแห่งเดียวคือซีเฟรช ก็อาจจะไม่เป็นที่รู้จักเท่าใดนัก แต่เมื่อมาถึงชาร์เตอร์โฮลดิ้ง จึงเป็นงานที่ทำให้เขากลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น

ชาร์เตอร์โฮลดิ้ง มีวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งคือ เป็นบริษัทที่ลงทุนในธุรกิจสาขาต่างๆ ที่เหมาะสมกับการลงทุนในช่วงนั้นๆ ไม่ได้จำกัดเฉพาะธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง และรวมไปถึงการหาผู้ร่วมทุนในกรณีที่ต้องร่วมทุน กลุ่มนี้ก็พร้อมที่จะลงขันด้วยเช่นกัน

สตีเวน ไม่ยอมเปิดเผยถึงผู้ร่วมทุนของกลุ่มชาร์เตอร์โฮลดิ้ง บอกเพียงแต่ว่ามีทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท และนโยบายของกลุ่มที่ยึดมั่นมากที่สุดคือ จะเป็นผู้ลงทุนที่อนุรักษ์นิยมมากที่สุด คือจะทำแต่โครงการที่ได้รับผลตอบแทนที่ดีที่สุดเท่านั้น

ผลงานชิ้นแรกที่ชาร์เตอร์โฮลดิ้งในประเทศไทยคือการซื้ออาคารเอทีเอ็ม ทาวเวอร์ ซึ่งเป็นอาคารสูง 31 ชั้น 1 อาคารบนถนนสาธร มีพื้นที่ใช้สอยทั้งสิ้น 35,000 ตารางเมตร โครงสร้างประกอบด้วยโครงเหล็กซึ่งใช้กับอาคารสูงในย่านธุรกิจกลางเมืองใหญ่ของโลกในต่างประเทศ และนับเป็นอาคารสูงแห่งแรกของไทยที่นำระบบเทคนิคมาใช้กับงานโรงสร้างเหล็ก เพื่อป้องกันอัคคีภัยและแผ่นดินไหว

เจ้าของอาคารหลังนี้คือ ปาล ศรีคุรุวาล เจ้าของห้างสรรสินค้าเอทีเอ็ม ที่พาหุรัด โดยขายให้ในราคาเกือบๆ 2,000 ล้านบาท และจ่ายเงินทองกันไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเงินที่นำมาจ่ายนี้ทางชาร์เตอร์โฮลดิ้งควักมาจ่าย 50% ส่วนที่เหลือเป็นเงินกู้จากต่างประเทศ

เมื่อเปลี่ยนเจ้าของกรรมสิทธิ์ ชื่อเสียงเรียงนามของตึกก็ต้องเปลี่ยนไอด้วย จากเอทีเอ็ม ทาวเวอร์ มาเป็น ชาร์เตอร์สแควร์ทันที โดยวางแผนไว้ว่าในเดือนพฤศจิกายนนี้ จะเปิดดำเนินงานได้ และคาดว่าใน 1-3 ปีแรกจะมีผู้เช่าพื้นที่ในอัตรา 90% โดยมีราคาเช่าอยู่ที่ 450-500 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน ผู้ที่ทำหน้าที่หาลูกค้าให้คือ บริษัทริชาร์ด เอลลิส ซึ่งเป็นตัวกลางในการซื้อขายครั้งนี้ด้วย

"ราคาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยขณะนี้ถูกมาก ยิ่งเมื่อเทียบกับประเทศใกล้เคียงแล้ว ยิ่งน่าซื้อมากขึ้น อย่างเอทีเอ็ม ทาวเวอร์ก็เหมือนกัน ผมว่าซื้อมาถูกมาก และผมยืนยันว่าไม่ได้ซื้อมาเพื่อขายต่อ แต่เป็นการลงทุนระยะยาวของบริษัท" สตีเวนกล่าว

นี่คือสาเหตุที่ชาร์เตอร์โฮลดิ้งเข้ามาซื้ออาคารที่กำลังจะก่อสร้างเสร็จเป็นทรัพย์สินของบริษัท

สตีเวนเพิ่มเติมว่า บริษัทไม่มีความจำเป็นที่จะต้องลงมาซื้อที่ดินเอง พัฒนาเอง เพราะไม่เหมาะสมและช้าเสียเวลามาก อีกทั้งชาร์เตอร์โฮลดิ้งคือบริษัทลงทุนไม่ใช่พัฒนาที่ดิน และการซื้อครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งเดียวและตึกเดียวของบริษัทก็ได้ เพราะอีกไม่นานนี้บริษัทจะลงทุนในด้านอุตสาหกรรมอีกประเภทหนึ่ง

"ขณะนี้มีกลุ่มนักลงทุนจากต่างประเทศให้ความสนใจในการเข้ามาซื้ออาคารที่กำลังก่อสร้างหลายแห่ง หลังจากที่ดูท่าทีมานาน เวลานี้คือช่วงที่เหมาะสมที่สุด" ผู้บริหารชาร์เตอร์โฮลดิ้งเปิดเผย

สัญญาณการเทกโอเวอร์ตึกเริ่มดังขึ้นแล้ว หลังจากที่เงียบหายไปเมื่อ 3-4 ปีที่ผ่านมา นักซื้อต่างชาติพร้อมแล้วที่จะเข้ามาลุยเก็บของถูก



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.