ตลท.ส่งหนังสือถึงศาลฯถอดปตท.ฉุดมาร์เกตแคป


ผู้จัดการรายวัน(5 กันยายน 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

ตลท.ส่งหนังสือถึงศาลปกครอง ชี้แจงถึงผลกระทบถ้าถอดถอนปตท.ออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียน จะทำให้มาร์เกตแคปของตลาดลดลงและทำให้หุ้นรัฐวิสาหกิจอื่นๆต้องชะลอแผนการเข้าระดมทุนออกไป โบรกฯคาดเป็นไปได้ยาก เชื่อต่างชาติไม่ยอมขาย "วิจิตร"เห็นตามนักวิเคราะห์ประเมินตลาดหุ้นปีหน้า 800-850 จุด ขณะที่ภาวะตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น 7 จุด เหตุนักลงทุนคลายความกังวลกรณีเฟดชะลอการขึ้นดอกเบี้ย

นายวิจิตร สุพินิจ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเปิดเผยถึงกรณีที่มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภคยื่นฟ้องต่อศาลปกครองให้ถอดถอนบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน)หรือ PTTออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ว่า วานนี้(4 ก.ย.)ตลาดหลักทรัพย์ได้ทำหนังสือไปยังศาลปกครองแล้ว เพื่อที่จะอธิบายถึงผลกระทบต่อตลาดหลักทรัพย์โดยรวมหากมีการถอดถอนบริษัทปตท.ออกจากการเป็นบริษัทจทดะเบียน เนื่องจากบริษัทปตท.ถือเป็นหลักทรัพย์ที่สำคัญ เพราะเป็นหลักทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่และมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมหรือมาร์เกตแคปขนาดใหญ่ รวมถึงจะมีผลต่อการเข้าจดทะเบียนของหลักทรัพย์รายอื่นๆ อีกด้วย

"ถ้าหุ้นปตท. ออกจากตลาดหลักทรัพย์จริง คงจะส่งผลกระทบในวงกว้างและร้ายแรงต่อตลาดหุ้นทั้งในขณะนี้และในอนาคต โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจใหม่ๆ ที่เตรียมจะเข้ามาจดทะเบียนอาจจะมีปัญหาล่าช้าได้เพราะต้องมาตรวจสอบกันละเอียดทุกตัวอักษร"นายวิจิตรกล่าว

ส่วนประเด็นที่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ส่วนใหญ่ประเมินว่าดัชนีตลาดหุ้น ณ สิ้นปีมีโอกาสที่จะอยู่ในระดับ 750 จุดและปีหน้าดัชนีมีโอกาสปรับตัวขึ้นมาที่ระดับ 800-850 จุดนั้น

นายวิจิตรกล่าวว่า โดยส่วนตัวแล้วมีมุมมองในทิศทางเดียวกันกับนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เนื่องจากดัชนีในตลาดหุ้นจะเคลื่อนไหวตามเงินลงทุนและสภาพการลงทุนที่เริ่มชัดเจนขึ้น ภายใต้รัฐบาลใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ ซึ่งถ้าปีหน้ามีการลงทุนใหม่เติบโตได้ 3-5% ก็ถือว่าใช้ได้ และเชื่อว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวเร็วขึ้นจากการสานต่อโครงการที่มีอยู่และโครงการใหม่

นอกจากนี้ขณะนี้ถือเป็นจังหวะที่ดีที่นักลงทุนระยะยาวจะสามารถทยอยเข้าเก็บหุ้น เนื่องจากราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ถือว่าอยู่ในระดับราคาที่ถูก โดยมีค่าพี/อี เรโช เพียง 8 เท่าขณะเดียวกันบริษัทจดทะเบียนหลายบริษัทมีความสามารถในการจ่ายเงินปันที่สูง และเฉลี่ยมากกว่าการฝากเงินจากสถาบันการเงิน

นายสาธิต วรรณศิลปิน รองกรรมการผู้จัดการ สายงานนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ นครหลวงไทย จำกัด เปิดเผยถึงกรณีที่มีข่าวว่าจะมีการถอนบมจ.ปตท. หรือ PTT ออกจากตลาดหลักทรัพย์ว่า เรื่องดังกล่าวน่าจะเกิดขึ้นได้ยาก เนื่องจากเป็นรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ซึ่งมีมาร์เก็ตแคปถึง 6 แสนล้านบาท ดังนั้นหากรัฐบาลจะต้องนำเงินมาซื้อหุ้นคืนนั้นคงจะต้องใช้เม็ดเงินจำนวนมาก ประกอบกับเชื่อว่านักลงทุนต่างชาติคงจะไม่ยอมขายหุ้น PTT ออกมาในราคาปัจจุบัน

อนึ่งเมื่อวันที่ 31 ส.ค.ที่ผ่านมามูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และเครือข่ายได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุด ขอให้มีคำพิพากษายกเลิก และเพิกถอนพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) กำหนดอำนาจสิทธิ และประโยชน์ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พ.ศ. 2544 และ พ.ร.ฎ.กำหนดเงื่อนไขเวลาการยกเลิกกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2544 โดยมีผู้ฟ้องคดีจำนวน 5 คน ประกอบด้วย 1. มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มอบอำนาจให้ นางสาวสารี อ๋องสมหวัง 2. น.ส.รสนา โตสิตระกูล กรรมการสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค (สอบ.) 3. น.ส.สายรุ้ง ทองปลอน ผู้จัดการสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค(สอบ.) 4.นางภินันท์ โชติรสเศรณี ประธานกลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ จังหวัดกาญจนบุรี 5.นางสาวบุญยืน ศิริธรรม ผู้ประสานงานชมรมคุ้มครองผู้บริโภค จังหวัดสมุทรสงคราม

นอกจากนี้ ได้มีการยื่นฟ้องคณะรัฐมนตรี (ครม.) พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี และนายวิเศษ จูภิบาล รักษาการ รมว.พลังงาน เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-3 ต่อศาลปกครองสูงสุดที่ได้แปรสภาพการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย จากรัฐวิสาหกิจเป็นบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน)

**ซื้อบิ๊กแคปดันหุ้นขึ้น7จุด

ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยวานนี้(4ก.ย.49)ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นยืนเหนือ 700 จุด โดยดัชนีปิดที่ 703.53 จุด เพิ่มขึ้น 7.09 จุด หรือ 1.02% โดยจุดสูงสุดอยู่ที่704.08 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 699.50 จุด มูลค่าการซื้อขาย 634.73 ล้านบาทการซื้อขายนักลงทุนของรายกลุ่มปรากฏว่านักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 449.49 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 852.74 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 1,302.23 ล้านบาท

ทั้งนี้หุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดของวัน 5 อันดับแรกเป็นหุ้นที่มีมาร์เกตแคปสูงทุกบริษัท โดยหุ้นธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB ราคาปิดที่ 60 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท หรือ 2.56%, หุ้นธนาคารกรุงเทพ หรือ BBL ราคาปิดที่ 108 บาท เพิ่มขึ้น 3 บาท หรือ 2.86% มูลค่การซื้อขาย 600.16 ล้านบาท, หุ้นบมจ.ปตท. ราคาปิดที่ 238 บาท ไม่มีการเปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 540.16 ล้านบาท, หุ้นบมจ.บ้านปู หรือ BANPU ราคาปิดที่ 140 บาท ลดลง 5 บาท หรือ 3.45% มูลค่าการซื้อขาย 540.05 ล้านบาท, หุ้นบมจ.ปูนซีเมนต์ไทย หรือ SCC ราคาปิดที่ 222 บาท เพิ่มขึ้น 4 บาท หรือ 1.83% มูลค่าการซื้อขาย 494.27 ล้านบาท

นางสาวอรุณรัตน์ จิวางกูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทีเอสอีซี จำกัด เปิดเผยถึงแนวโน้มตลาดหุ้นในวานนี้ว่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นซึ่งดัชนียืนเหนือ 700 จุดได้ เนื่องจากดัชนีปรับตัวตามตลาดหุ้นต่างประเทศโดยเฉพาะดัชนีดาวน์โจนปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 1.6% ภายหลังจากที่ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกปรับตัวลดลง

นอกจากนี้ งคลายความกังวลกรณีที่ธนาคารสหรัฐ(เฟด)อาจจะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไป รวมทั้งการที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประกาศตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 2อยู่ที่ระดับ 4.9 ส่งผลให้ครึ่งปีแรกตัวเลขของเศรษฐกิจ จะอยู่ที่ระดับ 5.5 ซึ่งถือว่าไม่เลวร้ายเท่าไรนัก แม้ที่ผ่านมา จะมีปัจจัยหลายอย่างทำให้เศรษฐกิจของประเทศชะลอตัวลดลง ส่งผลให้นักลงทุนหันกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเอชีย และตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นในวันนี้คาดว่าดัชนีจะแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบๆ เนื่องจากดัชนีปรับตัวขึ้นมายืนเหนือ 700 จุด อาจจะมีการปรับฐานได้ในระยะสั้น โดยประเมินแนวรับที่690-700 จุด และแนวต้านที่ 704-705 จุด หากผ่านแนวต้านดังกล่าวได้ดัชนีมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะแนวต้านที่สำคัญที่ 710 จุด

นายแสงธรรม จรณชัยกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด กล่าวว่าดัชนีตลาดหุ้นปรับเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้วันนี้ดัชนีฯ สามารถปิดยืนเหนือ 700 จุดได้ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับทิศทางตลาดในวันนี้

ทั้งนี้ คาดว่าดัชนีมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพราะยังไม่มีปัจจัยลบใหม่เข้ามากระทบบรรยากาศการลงทุน ประกอบกับยังคงมีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนแนะนำทยอยซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงานและธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี โดยให้แนวรับไว้ที่ 695 จุด ให้แนวต้านไว้ที่ 710 จุด

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ฟิลลิป กล่าวว่า บรรยากาศการลงทุนวานนี้เริ่มเป็นไปในเชิงบวกเนื่องจากนักลงทุนทยอยซึมซับข่าวลบเรื่องการเมืองภายในประเทศไปบ้างแล้ว โดยเฉพาะเรื่องการเลื่อนวันเลือกตั้ง ขณะที่ปัจจัยเงินเฟ้อภายในประเทศเริ่มลดน้อยลง หลังกระทรวงพาณิชย์รายงานตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนสิงหาคม เติบโต 3.8% ลดลงจากระดับ 4.4% ในเดือนก่อนหน้า

นอกจากนี้ ภาพรวมของตลาดหุ้นเพื่อนบ้านส่วนใหญ่ปรับตัวได้ค่อนข้างสดใสตามตลาดสหรัฐ หลังความกังวลต่อการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐลดน้อยลง


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.