อสังหาฯกระหน่ำชิงแชร์ตลาดกลาง-ล่างค่ายแสนสิริขอล้มช้าง!!รายเล็กนอนรอความตาย


ผู้จัดการรายวัน(5 กันยายน 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

การรุกคืบของบริษัทพัฒนาที่อยู่อาศัยทั้งค่ายใหญ่และค่ายเล็ก ที่ต่างตบเท้าเข้ามาบุกตลาดที่อยู่อาศัยระดับกลางลงล่าง ทั้งโครงการจัดสรร โครงการคอนโดมิเนียม ซึ่งแต่ละบริษัทพยายามที่จะใช้เครือข่ายของธุรกิจที่มีอยู่ รุกเข้ามาทำตลาดอย่างเต็มที่ ทั้งการแตกแบรนด์ใหม่หรือปรับแบรนด์ที่มีอยู่ให้เข้ากับเป้าหมายให้มากที่สุด โดยที่ไม่กระทบต่อแบรนด์หลักของบริษัทนั้นๆ

โดยเฉพาะในภาวะที่ผู้บริโภคค่อนข้างระมัดระวังในการลงทุนซื้อที่อยู่อาศัย ถึงแม้สินค้าประเภทที่อยู่อาศัยจะเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ของชีวิต แต่การตัดสินใจจะซื้อบ้านซักหลัง นั่นหมายถึงการก่อหนี้ระยะยาว

ถามว่าในภาวะที่การเมืองที่ไม่นิ่ง แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ภาวะดอกเบี้ยที่ยังมีแนวโน้มปรับตัว แน่นอนสัญญาณเชิงลบเหล่านี้ ย่อมมีผลต่อความมั่นใจของผู้บริโภคไม่มากก็น้อย

แม้แต่ฝ่ายวิจัยของหลายๆสำนัก คาดว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวมในปี 49 อัตราการขยายตัวไม่เกิน 5% แต่ประเด็นที่ทำให้ตลาดขยายตัวในระดับดังกล่าวนั้น ไม่ได้เกิดจากความต้องการที่อยู่อาศัยในตลาดรวมลดลงตามกำลังซื้อของผู้บริโภค แต่เกิดจากสินค้าที่อยู่อาศัยที่ผลิตออกมาในตลาด ไม่สอดคล้องกับกำลังซื้อของผู้บริโภคโดยรวม หรืออีกความหมายก็คือ ไปหลงกับกระแสการผลิตบ้านระดับราคาสูงในช่วงที่ผ่านมา จากที่อัตราดอกเบี้ยต่ำทำให้คิดว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคจะยืนยาว

ดังนั้น ผู้ประกอบการต้องหันกลับทำการบ้านกันอย่างหนัก เพื่อให้สามารถพัฒนาสินค้าให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า เครือแลนด์ฯจัดทัพสินค้าทำตลาดล่าง

การเคลื่อนไหวของบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ในช่วงที่ผ่านมา เป็นสิ่งที่จะต้องจับตามองอย่างมากในฐานะผู้นำตลาดอสังหาฯที่มีมูลค่าการขาย ส่วนแบ่งตลาด และมูลค่าโครงการสูงเป็นอันดับในขณะนี้ แต่ปัจจุบันด้วยพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป สินค้าของแลนด์ฯอาจจะไม่ใช่สินค้าในใจอันดับต้นๆที่ลูกค้าจะเลือกก็เป็นไปได้ หากในทำเลเดียวกันสินค้าของคู่แข่งลูกค้ายอมรับในเรื่องของราคาและรูปแบบได้

ทำให้บริษัทแลนด์ฯต้องหาช่องในการรักษาตลาด จากเดิมที่พัฒนาบ้านในระดับราคาเฉลี่ย 4-6 ล้านบาทที่รับกลุ่มลูกค้าในตลาดกลาง ได้มีการปรับปรุงรูปแบบ ขนาด และราคาขายบ้านในแบรนด์มัณฑนา , ชัยพฤกษ์,พฤกษ์ลดา และแบรนด์ชลลดาลง โดยมีราคาขายเฉลี่ยระดับ 2.8-3.3 ล้านบาท เพื่อรองรับกำลังซื้อที่ลดลงของลูกค้า โดยมีการส่งทาวน์เฮาส์ระดับราคา 3 ล้านบาทร่วมชิงส่วนแบ่งตลาดทาวน์เฮาส์ตลาดกลาง โดยโครงการทาวน์เฮาส์นี้นับว่าเป็นการหยิบสินค้าเดิมกลับมาปัดฝุ่น ปรับปรุงรูปแบบใหม่ขนาดและราคาใหม่เพื่อส่งเข้ามาทำตลาดอีกครั้ง

ขณะที่ค่ายควอลิตี้เฮ้าส์ฯ (QH) เครือแลนด์ฯ บริษัทพัฒนาบ้านเดี่ยวราคาแพง เจาะตลาดบนเป็นหลัก คงไม่สามารถอยู่เฉยๆได้ ในเมื่อลูกค้าที่ต้องการซื้อสินค้าบ้านระดับแพงเริ่มลดลงและจำกัดมากขึ้น ด้วยปัจจัยทางด้านอัตราดอกเบี้ย และความเข้มงวดของธนาคารพาณิชย์ ทางออกที่ดีที่สุดและไม่ให้กระทบต่อแบรนด์ควอลิตี้ เฮ้าส์ฯ ก็คือ การแตกบริษัทลูกออกมาพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยระดับกลาง อย่างบริษัท คาซ่า วิลล์ จำกัด แบรนด์บ้านเดี่ยวคาซ่าวิลล์และแบรนด์ คาซ่าซิตี้ ทำตลาดทาวน์เฮาส์

ขณะที่เจ้าของคอนเซ็ปต์บ้านกลางเมือง ของนายอนุพงษ์ อัศวโภคิน เจ้าของบริษัทเอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ AP ได้ปรับตัวเข้ามาสู่ตลาดคอนโดมิเนียมแล้วตั้งแต่ช่วงต้นปี โดยส่งคอนโดฯแบรนด์ "Life" เจาะกลาตลาดกลาง-ล่าง ราคา1.2-2 ล้านบาท และล่าสุดได้ส่งคอนโดฯแบรนด์ "Vogue"เข้ามาต่อยอดเสนอราคา 2-4 ล้านบาท เน้นทำเลในเมือง ส่วนในแนวราบจากที่ประสบความสำเร็จกับคอตเซ็ปต์บ้านกลางเมืองและบ้านกลางกรุงไปแล้ว ล่าสุดเตรียมส่งทาวน์เฮาส์ระดับราคา 2.5-2.7 ล้านบาทเข้ามาเปิดศึกชิงตลาดกับคู่แข่ง

แสนสิริยุค"เศรษฐา ทวีสิน"ขอล้มช้าง!!

แหล่งในวงการอสังหาฯกล่าวว่า ขณะนี้บริษัทแสนสิริฯกำลังถูกจับตามองจากคนในงการอย่างมาก ถึงการที่จะก้าวขึ้นมานั่งแท่นผู้นำในตลาดอสังหาริมทรัพย์จากแลนด์ฯ โดยเครือข่ายธุรกิจของแสนสิริเริ่มกว้างและรุกไปสู่ธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องต่อการ"เพิ่มมูลค่า"ให้แก่โครงการในเครือแสนสิริ อย่างธุรกิจสปาฯที่เข้าไปเทกโอเวอร์มา

แต่จะว่าไปแล้ว บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์ จำกัด ปัจจุบันกำลังเพิ่มบทบาทต่อบริษัทแม่อย่างมาก จากช่วงแรกที่บทบาทของพลัสฯจะทำหน้าที่สนับสนุนเรื่องการบริหารการขาย และขยายเพิ่มเข้ามาทำตลาดทาวน์เฮาส์ระดับกลาง ราคา 3-5 ล้านบาทตามรอยต่อเมือง ล่าสุดได้เข้ามาเจาะตลาด คอนโดฯระดับกลาง ราคา2-4 ล้านบาทภายใต้แบรนด์ "คอนโดวัน" ซึ่งประสบความสำเร็จด้านยอดขายอย่างถล่มทลาย เพราะมีการศึกษาและพัฒนาสินค้าออกมาตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้า ทั้งในด้านรูปแบบ ทำเลที่ตั้งโครงการ โดยกระจ่ายไปตามทำเลต่างๆ ซึ่งเป็นข้อดีที่ทำให้สนองตอบความต้องการลูกค้าได้อย่างทั่วถึง

แต่เพื่อให้มีสินค้าครอบคลุมกลุ่มลูกค้าในทุกระดับ ทุกตลาด รองรับการแข่งขันที่ดุเดือดในปี2550ทำให้บริษัทแสนสิริฯ ตัดสินใจแตกบริษัทลูกภายใต้ชื่อ พร้อมพัฒนา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เข้ามาทำตลาดบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดระดับล่าง ราคา 1.7-2.5 ล้านบาท

กระหน่ำออกสินค้ากลาง-ล่าง

นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟคฯ กล่าวว่า การลดลงของกำลังซื้อของลูกค้า ทำให้ผู้ประกอบการในตลาดต้องปรับตัวในทุกด้าน เพื่อพยายามหาจุดขายมาแข่งกัน โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังและต่อเนื่องไปจนถึงปี 2550 ที่คาดว่าจะมีการแข่งขันที่สูง จากการที่ผู้ประกอบการมีการพัฒนาสินค้าในเซกเมนท์ที่ตรงกัน ไม่ว่าจะเป็นตลาดระดับกลางและล่าง

" เชื่อว่าสินค้าของทุกแบรนด์ต่างก็จะมีจุดขายที่แตกต่างกัน ในขณะที่ตัวสินค้าจะไม่แตกต่างกันมากนัก โดยความแตกต่างกันด้านจุดขายที่เป็นกลยุทธ์หลัก ของแต่ละราย อาทิ ใกล้ถนนใหญ่ ใกล้ระบบรถไฟฟ้า ให้พื้นที่ส่วนกลาง มีทะเลสาป มีสโมสร ในโครงการ จากที่บ้านระดับราคา 1-3 ล้านบาทก่อนหน้านี้จะมีพื้นที่ส่วนกลางหรือทะเลสาปนั้นหายาก "นายธีระชนกล่าวและว่า

บริษัทได้ตัดสินใจ หยุดพัฒนาบ้านเดี่ยวในแบรนด์ เพอร์เฟคเพลส และเพอร์เฟคพาร์ค และหันมาพัฒนาบ้านในกลุ่ม "บ้านนิวเทรนด" ประกอบด้วย ทาวน์เฮาส์ราคา 1.6-1.8ล้านบาท ,บ้านเดี่ยวราคา 2.5-2.9 ล้านบาท และบ้านแฝด ราคา 1.9-2.4 ล้านบาท

สิ่งที่ต้องจับตามองคือ ค่ายเล็กๆที่อยู่ในตลาดคงต้องกลืนไม่เข้าคายไม่ออก กำลังถูกรายใหญ่เข้ามาตีตลาด ขณะที่โอกาสที่รายเล็กจะเข้าถึงแหล่งเงิน หรือทำเลที่มีศักยภาพเริ่มลดน้อยลง จึงอาจจะเรียกว่าเป็น "ยุคของรายใหญ่"นี้ยังไม่นับรวมบริษัทอสังหาฯที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ฯอย่าง ที.ซี.ซี. แคปปิตอล แลนด์ จำกัด ธุรกิจในอาณาจักรของตระกูล"สิริวัฒนภักดี"


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.