"บ้านกลางเมือง" ชีวิตจำต้องเลือก"


นิตยสารผู้จัดการ( พฤษภาคม 2537)



กลับสู่หน้าหลัก

บ้านหลังที่สองหรือคอนโดมิเนียมกลางเมืองกำลังเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชนชั้นกลางของกรุงเทพฯ แม้จะต้องลงทุนเพิ่มเติม และต้องปิดบ้านที่มีอยู่แล้ว แต่ความกดดันจากปัญหาการจราจรทำให้ชีวิตไม่มีทางเลือกที่มากไปกว่านี้

กิจกรรมประจำทุกเย็นวันศุกร์ของชนชั้นกลางในเมืองหลวงจำนวนไม่น้อย และกำลังเพิ่มมากขึ้นทุกทีคือ "กลับบ้าน"

"บ้าน" ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงบ้านเกิดในต่างจังหวัด แต่เป็นบ้านที่อยู่ในกรุงเทพฯ นี่แหละ อาจจะอยู่ชานเมืองห่างออกไปจากย่านใจกลางกรุงเทพฯ ประมาณ 20-30 กิโลเมตร เป็นบ้านที่ควรจะเป็นที่พักอาศัยประจำวัน หากไม่ต้องใช้เวลาเดินทางไปกลับวันละไม่น้อยกว่า 1 ใน 4 ของเวลาที่มีอยู่ในหนึ่งวัน

ปัญหาการจราจรทำให้ชนชั้นกลางของกรุงเทพฯ จำนวนมากต้องเช่าหรือซื้อบ้าน คอนโดมิเนียมในเมืองที่ใกล้กับที่ทำงาน เพื่ออาศัยหลับนอนระหว่างสัปดาห์ ส่วนบ้านจริง ๆ ในความหมายของชีวิตครอบครัวจะได้กลับไปอยู่ก็เพราะช่วงสุดสัปดาห์หรือวันหยุดเท่านั้น

บ้านหลังที่สองหรือคอนโดมิเรียมที่ตั้งอยู่กลางใจเมือง ในทำเลที่ใกล้กับย่านธุรกิจและสำนักงาน กำลังกลายเป็นปัจจัยในการดำรงชีพที่มีความจำเป็นนอกเหนือจากปัจจัยสี่สำหรับคนกรุงเทพ โดยเฉพาะชนชั้นกลางที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงการต้องเดินทางเข้ามาประกอบอาชีพทุกวัน

ข้อมูลงานวิจัย "ความต้องการในที่อยู่อาศัย ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ของชีวิต" ของ นันทนา ภัทรพงศ์สันต์ กรรมการผู้จัดการ โฮมมาสเตอร์กรุ๊ป ชี้ให้เห็นว่า ระยะเวลาที่เสียไปกับการเดินทางจากที่พักไปยังที่ทำงาน ในความคิดของผู้ซื้อที่อยู่อาศัย 66.8% คาดหวังในการเลือกที่อยู่อาศัยใหม่แทนที่อยู่ปัจจุบัน ไม่ควรใช้เวลาเดินทางเกิน 60 นาที หากใช้เวลามากกว่านี้ความสนใจจะลดลงเรื่อย ๆ (ดูตาราง)

สอดคล้องเป็นแนวเดียวกันกับข้อมูลจากบริษัท พรอพเพอร์ตี้ไลนส์ สำรวจปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อทาวน์เฮ้าส์ บ้านเดี่ยว และคอนโดมิเนียม ปรากฏว่ามีความคล้องจองกันในปัจจัยอันดับหนึ่ง คือการคมนาคมสะดวก โดยให้ความสำคัญเกิน 80% ขึ้นไป โดยเฉพาะผู้ซื้อคอนโดมิเนียมให้ค่าการคมนาคมเป็นปัจจัยชี้ขาด โดยต้นปีมีสัดส่วนในการตัดสินใจ 77.2% กลางปีขยับมาที่ 83.2% และปลายปีเพิ่มขึ้นเป็น 93.5% (ดูตาราง)

คอนโดมิเนียมจึงมิใช่เป็น "สินค้าฟุ่มเฟือย" อีกต่อไป ผู้ซื้อเริ่มยอมรับการซื้อ "ห้อง" แทน "บ้าน" ไว้อยู่อาศัยโดยทำใจได้กับการไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ซึ่งเป็นภาพตรงข้ามจากเมื่อเริ่มเกิดอาคารห้องชุดยุคแรก ที่ผู้อาศัยคอนโดมิเนียมหรูในย่านธุรกิจ เช่น ถนนสุขุมวิท จะเป็นชาวต่างประเทศมีเงินเดือนสูง โดยอาจจะเช่าหรือบริษัทซื้อไว้ให้ และคอนโดมิเนียมราคาต่ำลงมา จะเป็นห้องเช่าให้คนทำงานกลางคืนเป็นส่วนใหญ่

ธนวร นิยม ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายสินเชื่อเคหะของเงินทุนหลักทรัพย์จีเอฟ เป็นหนึ่งในอีกหลายคนที่อาศัยในกรุงเทพฯ ที่ต้องเริ่มมองหาที่อยู่ที่ใกล้ใจกลางเมืองให้ใกล้ที่สุดเท่าที่จะป็นไปได้

ธนวรไม่เคยคิดว่า วันหนึ่งเขาจำเป็นต้องซื้อคอนโดมิเนียม เพราะในขณะนี้ เขามีบ้าน 2 หลัง หลังหนึ่งคือที่หมู่บ้านอมรพันธ์ อีกหลังให้เช่าอยู่แถวโรงเรียนตำรวจนครบาล ถนนวิภาวดีรังสิต แต่ในที่สุด เขาก็ต้องซื้อห้องพักหนึ่งยูนิตของรีเจ้นท์ รอยัล เพลส เป็นคอนโดมิเนียมในเครือบริษัทธนายง ตั้งอยู่บนถนนราชดำริ หลังโรงแรมรีเจ้นท์

"ผมเคยใช้เวลาเพียง 45 นาทีเดินทางจากบ้านมาที่ทำงาน มาต้นปีที่แล้วกลายเป็นหนึ่งชั่วโมง แล้วเพิ่มขึ้นเป็นชั่วโมงสิบ เป็นชั่วโมงครึ่ง แล้วกลายเป็น 2 ชั่วโมงในตอนนี้" นี่คือสิ่งที่ทำให้คุณพ่อลูกสองต้องยอมควักกระเป๋าซื้อบ้านหลังที่สามในชีวิต

ลูกชายคนโตของธนวรต้องตื่นนอนก่อนตีห้าเพื่อเตรียมตัวไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล สามเสน โดยติดรถครูที่มีบ้านอยู่ใกล้กัน ซึ่งออกเดินทางเวลาตีห้าสิบห้านาที จากหมู่บ้านอมรพันธ์ ซอยเสนานิคม ไปถึงโรงเรียนประมาณ 6.30 น. ก่อนเวลาเคารพธงชาติหนึ่งชั่วโมง ซึ่งเป็นเวลาสำหรับอาหารเช้า

"สงสารลูกเหมือนกัน ต้องตื่นแต่เช้า ท้องว่างอยู่บนรถ พอถึงโรงเรียนก็รู้สึกง่วง" ธนวรครวญถึงปัญหาที่กลายเป็นเรื่องชินจนชาของคนไทย จนจำต้องปรับสภาพร่างกายตลอดจนวิถีชีวิตให้อยู่รอดในภาวะรถติด เช่นเดียวกับลูกชายวัย 9 ขวบของธนวร ที่จำต้องออกจากบ้านก่อนฟ้าสาง ก่อนหน้าเขาออกไปทำงานเกือบชั่วโมง พอตกเย็น เขากลับถึงบ้านก่อนลูกเกือบครึ่งชั่วโมง และรอทานข้าวพร้อมลูกตอน 19.00 น.

หากเมื่อไรคอนโดมิเนียมแห่งนี้เสร็จ ธนวรสามารถขับรถจากที่พักวิ่งตรงไปพบสี่แยกแล้วเลี้ยวซ้ายเขาถนนสารสิน เพื่อเลี้ยวซ้ายอีกครั้งหนึ่งเข้าซอยหลังสวน ตรงไปที่ทำงาน

นับว่าเป็นเส้นทางเดินรถที่สะดวก แม้ในช่วงเวลาเร่งด่วน ทางเส้นนี้ก็ยังถือว่าคล่องตัว เมื่อเทียบกับบริเวณใกล้เคียง เช่น บริเวณสี่แยกชิดลม สี่แยกราชดำริ เมื่อจะกลับที่พักตอนเย็นก็สามารถวกกลับถนนเส้นเดิมได้

สำหรับลูกชายทั้งสองคนของธนวร จะเดินทางได้รวดเร็วเช่นคุณพ่อ คงเป็นไปไม่ได้ หากยังคงเรียนที่โรงเรียนเดิมอยู่

ความต้องการของธนวร จึงไม่สามารถหยุดที่รีเจ้นท์ รอยัล เพลส เขากำลังมองหาคอนโดมิเนียมแถว ๆ โรงเรียนเซ็นต์คาเบรียล เพราะลูกคนที่ 2 กำลังจะย้ายตามมาเรียนกับลูกคนโต

"เวลาผมขับรถผ่านแถวโรงเรียนลูก พอเห็นตึกที่กำลังก่อสร้างอยู่ ผมจะเลี้ยวรถเข้าไปถามเลยว่าสร้างคอนโดหรือเปล่า" ธนวรเล่าถึงความตั้งใจจริงที่ต้องการให้ลูกพ้นสภาพการอยู่บนถนนนานเกินไป

บ้านที่หมู่บ้านอมรพันธ์ก็คงจะเป็นศูนย์รวมของครอบครัวเฉพาะในวันหยุดเท่านั้น ในขณะที่หลายคนเริ่มชาชินกับวิถีชีวิตที่ต้องจากบ้านเพื่อมาทำงานในเมือง ราวกับคนต่างจังหวัด ทั้ง ๆ ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ แท้ ๆ

สมศักดิ์ เมฆเกรียงไกร มีตำแหน่งเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับสยามสตูดิโอ ซึ่งตั้งอยู่ในซอยต้นสน แถวถนนเพลินจิต เขาเคยต้องตื่นนอนก่อนตีห้าเพื่อให้ทันออกจากบ้านระหว่างเวลาตีห้าถึงหกโมงเช้า"

"ถ้าออกจากบ้านหลังหกโมง ช้าเพียงแค่ห้านาที ก็จะถูกบล็อกตรงแยกลำสาลี บริเวณบางกะปิ ทำให้ไปถึงที่ทำงานสายมาก" สมศักดิ์เล่าให้ฟังในช่วงที่ยังอยู่แถวรามอินทรา

แยกลำสาลีเป็นทางแยกที่มีปัญหาการจราจรมากที่สุดจุดหนึ่งของกรุงเทพฯ จนได้รับการขนานนามว่า "ลำสาหัส"

แต่หลังจากที่สมศักดิ์มาซื้อห้องพักที่วิภาวดีคอนโดทาวน์ บนนราชปรารภ เขามีเวลานานเพิ่มขึ้นอีกเกือบ 2 ชั่วโมง และยังไม่ต้องหงุดหงิดกับรถติดด้วย

ทนง บุรานนท์ ประธานบริษัทแปซิฟิกริม โปรดักชั่น ค่อนข้างโชคดีกว่าอีกหลาย ๆ คน ครอบครัวของเขาได้ลงทุนร่วมกับ PACVEST สิงคโปร์ สร้างคอนโดมิเนียมชื่อสมคิด การ์เด้น บนที่ดินที่เคยเป็นที่อยู่อาศัยของตระกูลบุรานนท์ในซอยสมคิดช่วงที่กำลังก่อสร้างอยู่ ทนงต้องหาซื้อบ้านใหม่ และที่สุดก็ได้ที่ซอยลาดพร้าว 80 บนที่ดิน 200 ตารางวา

ระหว่างที่เขาอยู่ที่บ้านลาดพร้าวเมื่อสามปีที่แล้ว เขาไม่เคยรู้สึกว่ามีปัญหาการเดินทาง เพราะการจราจรยังพอเคลื่อนตัวได้บ้าง แต่สำหรับตอนนี้ เมื่อย้ายมาอยู่ที่สมคิดการ์เด้นแล้ว เขาแวะไปที่บ้านลาดพร้าวแทบจะนับครั้งได้ ส่วนภรรยาต้องไปทุกอาทิตย์ เพื่อดูแลความเรียบร้อยของบ้าน

"ตอนนี้ผมใช้เวลาขับรถมาที่ทำงานแค่ 15 นาที บางครั้งเดินกลับบ้านจนนิสัยเสีย ไม่ค่อยอยากไปไหนไกลจากแถวนี้" ทนงพูดถึงการเดินทางที่สะดวกมากนับตั้งแต่มาอยู่ที่ใหม่ ซึ่งตั้งอยู่เยื้อง ๆ กับที่ทำงานในซอยร่วมฤดีริมถนนสุขุมวิท

"ทุกวันนี้ที่ทำให้ทุกคนเท่าเทียมกัน คือการจราจร อย่างคุณหญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ประธานกลุ่มโรงแรมดุสิตธานี และแม่ค้าขายผักขายปลาที่คลองเตย ก็ทำเหมือนกัน คือ ซ้อนรถมอเตอร์ไซด์" บัณฑิต จุลาสัย รองคณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเปรียบเปรย

การต้องผจญภัยกับรถติดอาจถือได้ว่าเป็นความเท่าเทียมของคนกรุงเทพทุกระดับชั้น แต่การหาวิธีหลบหลีก หลีกเลี่ยงเฉพาะตนได้ดีเพียงใด ยังเป็นความเหลื่อมล้ำ ที่ต้องขึ้นอยู่กับอีกหลาย ๆ ปัจจัยโดยเฉพาะ "เงินทุน"

สุฑาทิพย์ รุทธิฤทธิ์ ข้าราชการครูระดับซี 5 มีพื้นเพเป็นคนแปดริ้ว หลังจากเรียนจบวิทยาลัยครูประจำจังหวัดแล้ว ได้สมัครสอบบรรจุครูและผ่านการสอบเป็นอาจารย์ประจำสอนวิชาศิลปะที่โรงเรียนวัดสระเกศ ในกรุงเทพฯ ทำให้เธอต้องจากบ้านมาเช่าแฟลตคลองจั่นเดือนละ 1,300 บาท ซึ่งเป็นอัตราค่าเช่าเมื่อ 7 ปีที่แล้ว

7 ปีที่แล้วกับการเดินทางมาทำงานในวงรัศมีไม่เกิน 5 กิโลเมตรของอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ด้วยการขึ้นรถเมล์ 2 ต่อ ยังไม่เป็นสิ่งสาหัสเท่าไรนัก ในตอนนั้นโรงเรียนเข้า 7.15 น. เธอจะออกจากบ้านก่อน 6.00 น. เล็กน้อย ก็สามารถทันเวลาเข้าเรียนของนักเรียน

สุฑาทิพย์อาจจะมีความสุขกับการเช่าแฟลตอยู่ต่อไปเรื่อย ๆ ถ้าเธอยังเป็นโสดตัวคนเดียว

"แต่งงานแล้ว ก็ยังอยู่แฟลต แต่พอมีลูก ก็เลยรู้สึกว่าแคบอึดอัด จึงตัดสินใจซื้อบ้านเพื่อให้ลูกมีที่วิ่งเล่นสบาย" สุฑาทิพย์เล่าการขยับขยายย้ายจากแฟลต ไปอยู่บ้านบนพื้นที่ 60 ตารางวาที่หมู่บ้านบัวทอง ในเขตบางบัวทอง นนทบุรี

การเดินทางมาโรงเรียน ยังไม่ถือว่าลำบากในทัศนะของเธอ เพราะมีรถตู้ของหมู่บ้านจำนวนมากคอยบริการ รถตู้จะวิ่งตรงดิ่งและจอดป้ายเดียวคือเมื่อสุดเส้นทางที่ห้างสรรพสินค้าพาต้า เชิงสะพานพระปิ่นเกล้า หลังจากนั้นเธอขึ้นรถเมล์สาย 42 หรือ 68 มาลงที่ถนนราชดำเนิน เพื่อต่อสาย 47 หรือ 15 ซึ่งผ่านหน้าโรงเรียน

แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนรถเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งต่อ แต่สุฑาทิพย์สามารถออกจากบ้านสายกว่าสมัยเมื่ออยู่แฟลตคลองจั่นประมาณ 45 นาที โดยที่กินเวลาเดินทางราวครึ่งชั่วโมงเหมือนกัน ก็จะมาทันโรงเรียนเข้า ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงเวลาเป็น 8.30 น.

ชีวิตน่าจะลงตัวตามต้องการ ถ้าลูกชายวัย 5 ขวบ ไม่มีอาการเมารถจนอาเจียน

หลังจากที่ลูกขบอนุบาล 3 จากโรงเรียนในหมู่บ้านแล้ว ได้มาต่อชั้นประถม 1 ที่โรงเรียนทวีธาภิเศก (ประถม) ย่านวัดอรุณราชวราราม ฝั่งธนบุรี

"ถ้าให้ลูกเรียนโรงเรียนประถมแถว ๆ บางบัวทอง ก็จะกลับมาไปรับลูกไม่ทัน เลยตัดปัญหาตรงนี้ ให้ออกมาและกลับพร้อมกันดีกว่า" สุฑาทิพย์เล่าความเป็นมาของจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนที่อยู่อีกครั้งหนึ่ง

แม้การไปโรงเรียนทวีธาภิเศก จะต้องนั่งเรือข้ามฟากไปฝั่งธนบุรี แต่ในความรู้สึกของเธอไม่คิดว่าเป็นปัญหา เพราะสามีหรือพ่อของเด็กเป็นข้าราชการกรมการค้าภายในที่ท่าเตียน ซึ่งมีท่าเรือข้ามฟากไปถึงโรงเรียนของลูกโดยตรง

โรงเรียนลูกเข้าเรียน 8.00 น. ส่วนโรงเรียนวัดสระเกศเปลี่ยนเวลาเข้าเรียนอีกครั้งเป็น 7.45 น. ตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ปรับเปลี่ยนเวลาของแต่ละโรงเรียนให้ต่างกัน เพื่อช่วยบรรเทาการจราจร

สุฑาทิพย์และครอบครัวได้ว่าจ้างแท็กซี่ประจำเป็นรายอาทิตย์ ให้มารับที่บ้านเวลา 5.45 น. หรืออย่างช้าสุดไม่เกิน 6.00 น. เพราะจะทำให้ไปทำงานสายติดพันเป็นลูกโซ่ เนื่องจากรถแท็กซี่จะส่งที่โรงเรียนลูก

เมื่อมาถึงโรงเรียนทวีธาภิเศกก่อน 7.30 น. จะมีเวลาครึ่งชั่วโมงสำหรับให้ลูกทานข้าวเช้ากับพ่อ ส่วนเธอต้องรีบข้ามฟากมาท่าเตียน เพื่อขึ้นรถเมล์ไปทำงาน

"ปลุกลูกตอนตีห้ายี่สิบ แต่ลูกไม่ค่อนอยากจะตื่น ต้องอุ้ม บางครั้งยังไม่ได้อาบน้ำด้วย ต้องเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าในรถ แต่บางวันลูกก็ยอมลุกแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย" สุฑาทิพย์เล่า

การต้องปลุกลูกให้ตื่นในขณะที่ลูกยังนอนไม่เต็มอิ่ม ทำให้มีผลข้างเคียงคืออาการเมารถอย่างรุนแรง

ในระยะแรกที่เกิดปัญหา เธอคิดว่าเป็นเพราะลูกท้องว่าง จึงให้ลูกทานข้าวก่อนขึ้นรถ แต่ผลยังเป็นเช่นเดิม อาหารเช้าออกมาหมดเต็มถุงพลาสติกที่เธอเตรียมติดตัวไม่เคยขาด

เธอจึงตัดสินใจกลับมาอยู่ห้องเช่าอีกครั้งหนึ่ง โดยใช้เวลาเสาะหาอยู่นานหลายเดือน กว่าจะได้ห้องเช่าราคา 3,500 บาทแถว ๆ ถนนจรัญสนิทวงศ์ 45 เยื้อง ๆ กับห้างสรรพสินค้าพาต้า

ระยะเวลาเดินทางสั้นลง ทำให้ลูกชายมีเวลานอนเพิ่มขึ้นเกือบหนึ่งชั่วโมง อาการอาเจียนพลอยหายตามไปด้วย

บ้านบัวทองจึงเสมือนหนึ่งเป็น "บ้านสุดสัปดาห์" ที่ทำให้เธอต้องเหนื่อยเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว

"กลับไปบ้านแต่ละครั้งก็เหนื่อยต้องทำความสะอาดหมด พอกลับมาที่ห้องเช่าตอนเย็นวันอาทิตย์ก็ต้องทำความสะอาดห้องอีก" สุฑาทิพย์เล่าถึงวิถีชีวิตทุกวันนี้ที่วนเวียนระหว่างบ้านสองหลังนานเกือบหนึ่งปี

จันทร์เพ็ญ เอื้อธำรงสวัสดิ์ เป็นอีกคนหนึ่งที่เข้าใจซึ้งถึงภาระที่ตามมาจากการมีบ้าน 2 หลัง

ข้อแรก เป็นเรื่องของวัตถุ คือ ต้องมีข้าวของเครื่องใช้เพิ่มขึ้นอีกชุดหนึ่งสำหรับบ้านหลังที่ 2 อาทิ โทรทัศน์ ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ วิทยุ เครื่องครัว ตลอดจนถึงของใช้ส่วนตัว

ข้อที่สอง ที่จะตามมาโดยธรรมชาติ คือความกังวลถึงบ้านหลังที่ปิดตายในช่วงที่ต้องมาอยู่บ้านอีกหลังหนึ่ง ความห่วงใยกินความไปถึงสภาพของตัวบ้าน ต้นไม้ที่อุตส่าห์ปลูกไว้และการถูกงัดแงะ

"ประตูรั้วของบ้านที่บางนา ดิฉันจะปล่อยให้ดูโทรม ๆ เก่า ๆ คงเดิม เพื่อหลอกตาคน" จันทร์เพ็ญดล่าวิธีป้องกันภัย

จันทร์เพ็ญ เป็นแม่บ้านที่ทำงานนอกบ้านด้วย เธอทำหน้าที่เลขานุการให้กับเปล่งศักดิ์ ประกาศเภสัช กรรมการผู้จัดการบริษัทเมโทรกรุ๊ป มานานไม่ต่ำกว่า 10 ปี

บ้านหลังที่ 2 ของเธอ ไม่ได้อยู่ใจกลางเมือง ทว่าไกลออกไปแถวบางนา-ตราดกิโลเมตรที่ 2 เป็นบ้านที่สามีและเธอสร้างขึ้นใหม่แทนบ้านเก่าที่ติดมากับที่ดิน 60 กว่าตารางวาเพิ่งสร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อสิงหาคมของปีที่แล้ว

"บ้านที่อยู่ปัจจุบันเป็นตึกแถว 3 ชั้น เซ้งเขาอยู่ แออัดมาก เหมาะทำการค้ามากกว่าอยู่อาศัย ลูกก็โตขึ้นทุกวัน และยังมีคนทำงานบ้านอีก 2 คน เลยคิดอยากมีบ้านของตัวเอง ตอนที่บ้านเสร็จใหม่ ๆ เราไปอยู่กันตรงกับช่วงปิดเทอมโรงเรียนลูก แต่ดิฉัน และสามียังต้องทำงาน รู้สึกเครียดกับการขับรถมาก อยู่บนรถชั่วโมงกว่า เย็นเลิกงานก็ต้องตาลีตาเหลือกขับรถกลับบ้าน นอนได้ไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องตื่น ขับรถมาทำงานอีก" จันทร์เพ็ญสาธยาย

บ้านในเมืองของเธออยู่ที่พลับพลาไชย ใกล้ ๆ กับวงเวียน 22 กรกฎา เธอย้ายมาอยู่ร่วมกับสามีหลังจากที่แต่งงานกันแล้ว การเดินทางไปไหนต่อไหนจะสะดวกมาก เธอใช้เวลาขับรถไม่เกิน 20 นาที ก็ถึงที่ทำงานบริเวณท่าน้ำราชวงศ์

ลูกชาย 2 คนของเธอเรียนหนังสือที่โรงเรียนอัสสัมชัญเซ็นต์หลุยส์ เด็ก ๆ มีตารางชีวิตเช่นเดียวกับเด็กกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ คือ ต้องตื่นนอนเช้าประมาณ 5.30 น. เพื่อรอรถโรงเรียนมารับเวลา 6.20 น.

นอกเหนือจากความสะดวกในการเดินทางของการอยู่บ้านที่พลับพลาไชยแล้ว ยังเป็นเรื่องความจำเป็นด้วย เพราะสามีทำธุรกิจผักสดส่งนอก ซึ่งต้องมีการติดต่อและขนสินค้าจากปากคลองตลาดตอน 4.00 น.

บ้านที่ถนนบางนา-ตราด จึงกลายเป็น "บ้านสุดสัปดาห์" ที่เจ้าของบ้านมีโอกาสอยู่อย่างโล่งโปร่งตาได้เต็มอิ่มเฉพาะวันอาทิตย์เท่านั้น

หลังอาหารเย็นของวันศุกร์ จันทร์เพ็ญและครอบครัว รวมทั้งคนทำงานบ้าน 2 คนจะพากันมาค้างคืนที่บ้านสุดสัปดาห์ เมื่อตื่นขึ้นมาของเช้าวันเสาร์ เธอหรือสามีจะต้องขับรถส่งลูกชายไปเรียนพิเศษ ที่โรงเรียนอัสสัมชัญเซ็นต์หลุยส์ ถ้าบังเอิญเธอมีธุระต้องทำในเมือง เธอก็จะรอรับลูกกลับตอนบ่ายสามโมง หรือมิเช่นนั้นเมื่อส่งเสร็จแล้วเธอจะขับรถกลับบ้านที่บางนา-ตราด แล้วตอนบ่ายค่อยออกมารับลูกอีกครั้ง พอถึงวันรุ่งขึ้นของวันอาทิตย์ มีเวลาอยู่บ้านไม่กี่ชั่วโมง ก็ต้องเตรียมกลับบ้านที่พลับพลาไชยในตอนบ่าย

"คุณอยากจะถามใช่ไหมว่า แล้วไปอยู่ทำไมทั้ง ๆ ที่ไม่ค่อยได้อยู่บ้านเลย แต่อย่างน้อยให้เด็กไปทำความสะอาดบ้าน เปิดประตูหน้าต่างระบายลม" จันทร์เพ็ญบอกความจริงที่ทำให้ต้องไปบ้านหลังนี้ทุกสุดสัปดาห์ และเป็นที่มาของภาระที่สาม คือ การดูแล

ที่สุดแล้วตึกแถวกลางเมืองท่ามกลางเสียงดังของรถที่วิ่งสวนไปมาทั้งวันทั้งคืน จนเธอต้องติดเครื่องปรับอากาศทั่วทั้งตึก ก็ยังมีความสำคัญและคงย้ายออกไปไม่ได้ง่าย ๆ

สำหรับคนที่พอมีเงินทุนบ้าง จนถึงคนที่มีเงินทุนพอจะเลือกซื้อสิ่งใดก็ได้ตามต้องการ ย่อมได้เปรียบในการเลือกที่อยู่อาศัยได้มากขึ้นเป็นเงาตามตัว

นอกเหนือจากบ้านหลังที่สองหรือบ้านกลางเมืองที่เป็นทางออกของผู้ที่อยู่ ในสถานที่เอื้ออำนวยสำหรับการจัดการกับปัญหาการจราจรในชีวิตประจำวันแล้ว การรู้จักเลือกเส้นทางในกรณีที่สามารถทำได้ก็เป็นเรื่องที่พอจะทำให้ชีวิตเสียเวลาอยู่บนท้องถนนน้อยลงได้บ้าง

บัณฑิต จุลาสัย มีบ้านอยู่ที่หมู่บ้านจัดสรรของอาคารสงเคราะห์ที่ทุ่งมหาเมฆ เขาจะเลือกออกจากบ้านตอน 8.30 น. หลังจากที่ขบวนของนักเรียนอัสสัมชัญเซ็นต์หลุยส์เข้าเรียนแล้ว รวมทั้งขบวนพนักงานแถวถนนสีลมลงจากทางด่วนตรงถนนพระรามที่ 4 จบไปแล้ว

เขาจะแวะทำงานที่ออฟฟิศบนถนนสาธรก่อนจนถึงเวลา 10.00 น. จึงจะออกจากบริษัทจุลาสัย ไปมหาวิทยาลัย ก่อนที่ขบวนคนทำงานจะมาทานอาหารกลางวัน และจะไม่ออกจากมหาวิทยาลัยก่อน 17.30 น. เพราะช่วงนั้นรถจะติดมาก เนื่องจากเป็นเวลากลับบ้านของนักเรียนในโรงเรียนย่านนั้น

"ท้ายรถของผมจะมีหมวกกันน็อก เมื่อต้องไปไหนในช่วงรถติดมาก ๆ ผมก็จะใช้วิธีซ้อนมอเตอร์ไซด์ เมื่อเสร็จธุระ ผมก็นั่งแท็กซี่กลับมาเอารถที่จุฬาฯ สะดวกกว่ามาก" บัณฑิตสะท้อนภาพความจริงที่เห็นได้ทุกวัน

รถมอเตอร์ไซด์อาจจะทำให้เดินทางถึงจุดหมายปลายทางได้รวดเร็วมากขึ้น แต่ก็เสี่ยงต่อความปลอดภัยและอย่าพึงฝันถึงความสะดวกสบาย สำหรับผู้ที่ไม่มีทางเลี่ยงต่อการหยุดนิ่งอยู่บนท้องถนนเป็นเวลานานนับชั่วโมง แต่บังเอิญมีฐานะที่สามารถบรรเทาความอึดอัดให้เบาบางลงได้ รถยนต์ที่เป็นเสมือนเตียงนอน รายรอบด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกเท่าที่อยากจะมี ทั้งทีวี ตู้เย็น โทรศัพท์พร้อมแฟกซ์ เครื่องเสียงแลอื่น ๆ อีก ตามความจำเป็นของแต่ละคนคือทางออกที่เริ่มได้รับการสนองตอบแล้ว

โดยเฉพาะบรรดาผู้ปกครองที่ต้องส่งลูกเรียนพิเศษในวันเสาร์-อาทิตย์ และต้องนั่งรอจนกว่าจะเรียนเสร็จ เพราะบ้านอยู่ไกลเกินไปที่จะขับรถกลับมารับอีกรอบ จะมีความต้องการรถที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกภายใน เสมือนหนึ่งเป็นบ้านเคลื่อนที่อยู่บนถนน เพื่อใช้ฆ่าเวลาที่ต้องนั่งรอ

รถยี่ห้อง "ซาบ ลีมูซีน" ปรากฏโฉมครั้งแรกเมื่อปลายปีที่แล้ว ก็มีผู้สั่งซื้อทันทีในวันนั้น และทางบริษัทคาดว่าจะสามารถจำหน่ายได้ไม่ต่ำกว่า 10 คัน

ซาบ ลีมูซีน เกิดจากการนำรถยนต์ซาบรุ่น 9000 CD เครื่องยนต์ 2300 ซีซีจากประเทศสวีเดนนำมาดัดแปลงใหม่โดยการขยายส่วนกลางตัวรถออกไปประมาณ 90 ซม. ความกว้างที่มากขึ้นทำให้ตกแต่งความสะดวกภายในได้มากขึ้น เสมือนหนึ่งยกห้องนั่งเล่นมาไว้ในรถ

"เชฟโรเล็ท" เป็นรถอีกยี่ห้อหนึ่งที่มีคุณสมบัติไม่แตกต่างจาก ซาบ ลีมูซีน ในแง่เครื่องอำนวยความสะดวก

ซาบ ลีมูซีน ราคาคันละ 3,990,000 บาท ส่วนเชฟโรเล็ท ราคาคันละ 2,500,000 บาท

สำหรับบางคนมีการนำรถตู้ มาปรับปรุงตกแต่งภายในเพิ่มในสิ่งที่ต้องการ ซึ่งจะใช้เงินประมาณ 2 แสนบาท แล้วแต่คุณภาพของสิ่งที่เสริมความสะดวก

ปัญหาการจราจรเป็นปัจจัยสำคัญที่จะลดเวลาที่ใช้บนท้องถนนลงให้มากที่สุด รวมทั้งการแสวงหาความสะดวกสบายในช่วงเวลาที่ต้องติดอยู่บนท้องถนนเป็นเวลานานเป็นการช่วยตัวเองเท่าที่จะทำได้ ในสภาพการณ์ที่ยังไม่มีวี่แววเลยว่าปัญหาการจราจรจะได้รับการแก้ไขให้ดีขึ้นได้อย่างไร?



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.