ปรับนโยบายระดมเงินฝาก

โดย ณัฐวัฒน์ หอมจิตต์
นิตยสารผู้จัดการ( กันยายน 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

ด้วยข้อจำกัดในการทำธุรกิจของธนาคารเกียรตินาคิน (KK) ซึ่งเป็นธนาคารขนาดเล็กที่มุ่งเน้นการให้บริการในพื้นที่ตลาดที่มีความถนัดเพียงไม่กี่อย่าง เช่น การให้สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ทั้งมือ 1 และมือ 2 และสินเชื่อโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ประมูลซื้อมาจากองค์การปฏิรูปสถาบันการเงิน (ปรส.) การกำหนดกลยุทธ์เน้นระดมเงินฝากระยะยาว ที่สอดคล้องกับอายุการปล่อยสินเชื่อถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวด

แต่ท่ามกลางสภาพปัจจัยอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นต่อเนื่องนับแต่ต้นปี การนำเสนอเงินฝาก 1-2 ปีของธนาคารเกียรตินาคินตั้งแต่ต้นปีต่อเนื่องถึงไตรมาส 2 จึงไม่ได้รับความสนใจมากนักจากลูกค้า จนเป็นเหตุให้ธนาคารตกอยู่ในสภาวะจำยอมที่จะต้องละวางนโยบายระดมเงินฝากประเภทนี้ไว้เป็นการชั่วคราว เพื่อหันมายอมรับเงินฝากที่มีอายุต่ำกว่า 6 เดือนทั้งสิ้น

โครงสร้างฐานเงินฝากปัจจุบันของธนาคารนั้น 61.07% กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มเงินฝากที่มีอายุ 1-12 เดือน คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 34,970 ล้านบาท และอีก 26.6% อยู่ในเงินฝากที่มีอายุตั้งแต่ 24 เดือน คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 26,640 ล้านบาท ส่วนที่เหลือ 12.29% นั้นเป็นเงินฝากอายุ 13-24 เดือน คิดเป็นมูลค่า 7,040 ล้านบาท

"จริงๆ แล้วเราก็ไม่ค่อยอยากได้เงินฝากระยะสั้นเท่าไร เพราะไม่ใช่นโยบายของแบงก์ แต่ดอกเบี้ยอาร์พีสูงขึ้นเร็วมาก ทำให้ดอกเบี้ยในตลาดสูงขึ้นตาม ลูกค้าส่วนใหญ่จึงไม่อยากฝากเงินกับที่ไหนนานๆ อยากหาที่ฝากสั้นๆ เราก็เลยต้องทำตามคำเรียกร้องของลูกค้าเรา ทำให้เงินฝากไตรมาสแรกและไตรมาส 2 ของเราจึงเป็นเงินฝากอายุต่ำกว่า 6 เดือนทั้งสิ้น แต่เราก็คงทำแบบนี้อีกไม่นานนัก" ฐิตินันท์ วัธนเวคิน ประธานสายงานบริหารการเงินและเงินฝาก ธนาคารเกียรตินาคิน กล่าวถึงประเด็นนี้ระหว่างแถลงผลดำเนินงานประจำไตรมาส 2/2549

ด้านธวัชไชย สุทธิกิจพิศาล กรรมการผู้จัดการ กล่าวเสริมถึงสภาพการแข่งขันเรื่องเงินฝาก พฤติกรรมผู้บริโภคที่ไม่อยากฝากเงินระยะยาว เพราะคิดว่าดอกเบี้ยจะขึ้นต่อไปเรื่อยๆ นั้น ปัจจุบันเริ่มจะเปลี่ยนความคิดกันใหม่แล้วว่าอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ไม่น่าจะมีโอกาสขึ้นได้อีก และเริ่มมองหาแหล่งเงินฝากระยะยาวกันใหม่แล้ว

ทั้งนี้ในปัจจุบันธนาคารเกียรตินาคินกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากอายุ 6 เดือนและ 12 เดือน ไว้เท่ากันที่ 3.0-5.3750% ส่วนอัตราดอกเบี้ย 24 เดือน อยู่ที่ 4.75-5.5% สูงสุดในระบบธนาคารพาณิชย์ไทย

ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของปีนี้ ธนาคารเกียรตินาคินยังมีแผนขยายแหล่งเงินกู้ใหม่เพื่อรองรับการขยายธุรกิจ โดยอาศัยการทำ syndicate loan ในต่างประเทศ ซึ่งยังไม่ระบุวงเงินที่แน่นอนในเวลานี้ ควบคู่กับการออกหุ้นกู้ระยะยาวรอบใหม่ในวงเงิน 2,000 ล้านบาท หลังจากก่อนหน้าธนาคารได้เคยระดมทุนโดยการออกหุ้นกู้อายุ 2-3 ปีไปแล้ว 2 ครั้ง รวมเป็นวงเงิน 6,000 ล้านบาท

สองผู้บริหารจากเกียรตินาคินยังได้ร่วมกันแถลงผลดำเนินงานของธนาคารในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ว่า ธนาคารมีสินทรัพย์ทั้งสิ้น 73,964 ล้านบาท มีหนี้สิน 57,300 ล้านบาท มีผลกำไรจากการดำเนินงาน 1,181 ล้านบาท และมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงที่ 24.1%

ด้านการขยายตัวของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้น 10% ใกล้เคียงกับไตรมาสแรกของปี โดยหนี้จัดชั้นในกลุ่มสินเชื่อประเภทนี้มีอยู่ราว 20% แต่ธวัชไชยบอกว่าเขายังไม่เห็นสัญญาณของหนี้เสียที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มนี้ และยังคาดหมายว่าเมื่อถึงสิ้นปีสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์น่าจะขยายตัวรวมกันได้ 40% ของพอร์ตสินเชื่อรวม

แต่การขยายตัวในสินเชื่อโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แทบไม่ขยับ ทำให้สินเชื่อคงค้างของธนาคารในไตรมาส 2 ทรงตัวอยู่ที่ 16.4% ปิดยอดในไตรมาสนี้ด้วยมูลค่า 16,800 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงตัวเลขเมื่อสิ้นปี 2548 โดยคาดหมายว่าสินเชื่อนี้จะยังคงทรงตัวในช่วงครึ่งปีหลัง

ทั้งนี้ธนาคารบอกว่าเป็นผลจากการปิดโครงการเดิม และถึงแม้ว่ามีผู้พัฒนาโครงการบางรายได้ยืนขอสินเชื่อพัฒนาโครงการใหม่ๆ เข้ามาบ้างก็ตาม แต่ยังไม่มากพอที่จะชดเชยกับการชะลอแผนการลงทุน เพื่อรอดูทิศทางที่ชัดเจนของอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ของผู้ประกอบการโดยส่วนใหญ่

สำหรับหนี้จัดชั้นในกลุ่มนี้มีทั้งสิ้น 28% โดย 10% เป็นกลุ่มที่ได้เข้าสู่กระบวนการฟ้องร้องแล้ว ส่วนอีก 18% ที่เหลือนั้นเป็นหนี้จัดชั้นที่เกิดจากแนวโน้มความเสี่ยงในเรื่องความรวดเร็วในการระบายสินค้าของผู้พัฒนาโครงการที่มีทีท่าว่ากำลังลดลง แม้เจ้าของโครงการยังจะมีการขอเบิกเงินกู้อยู่ก็ตาม แต่จากการพัฒนาโครงการที่เป็นไปอย่างเชื่องช้า ธนาคารจึงต้องจัดชั้นความเสี่ยงของหนี้ในกลุ่มนี้ไว้ด้วยก่อน

โดยปัจจุบันธนาคารได้กันเงินสำรองที่ครอบคลุมภาระหนี้เสียนี้ไว้แล้วที่ 1,337 ล้านบาท สูงกว่ายอดเงินกันสำรองหลังหักหลักประกัน ที่ธนาคารพาณิชย์ต้องดำเนินการตามเกณฑ์มาตรฐานปกติของธนาคารแห่งประเทศไทยถึง 1,175 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ธนาคารยังต้องแบกภาระทรัพย์สินที่รอการขายซึ่ง มีมูลค่ารวมกัน 6,924 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้มีแนวโน้มว่าการขายทรัพย์สินเหล่านี้น่าจะทำได้ยากขึ้น แต่กระนั้นก็ตาม ธนาคารเกียรตินาคินตั้งเป้าว่าในปีนี้จะพยายามระบายทรัพย์สินนี้ให้ได้ราว 1,000-1,500 ล้านบาท ด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยลงให้อยู่ในระดับที่ถูกที่สุด พร้อมทั้งยืดอายุการชำระหนี้ เพื่อที่ว่าลูกหนี้ที่ผ่อนชำระกับธนาคารจะสามารถกลับมาซื้อทรัพย์สินของตนคืนได้ง่ายขึ้น


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.