งานตกแต่งภายใน เป็นงานที่เดินเคียงคู่ไปกับการรังสรรค์โครงสร้างบ้านให้ดูโอ่โถงตระการตา
หากการออกแบบและรังสรรค์ความวิจิตรเพริศแพร้วภายในบ้าน ไปคนละทางกับงานภายนอกเสียแล้ว
ความใหญ่โตอลังการของบ้านก็แทบจะไม่มีคุณค่าอะไรเลย
รูปแบบการตกแต่งภายในของคฤหาสน์เศรษฐีโดยทั่วไปนั้น ส่วนใหญ่จะประยุกต์เอา
วัฒนธรรมการตกแต่งภายในของชาติตะวันตกมาใช้แทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นแบบหลุยส์คลาสสิค
นีโอคลาสสิค หรือแม้แต่ศิลปะการตกแต่งภายในรุ่นใหม่ที่เรียกว่า NEW WAVE
เข้ามาผสมผสานให้กลมกลืนกับตัวบ้าน เช่นเดียวกับศิลปะการตกแต่งภายในสมัยเหม็ง
หรือเช็งของจีน ก็มีอยู่เกลื่อนกลาด
มีใครเคยคิดบ้างไหมว่าศิลปะการตกแต่งภายในของไทยเราเอง ก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าต่างชาติเลย
เพราะหากเราไม่เริ่มคิดในวันนี้
เราอาจจะได้เห็นศิลปะของไทยตามวัดวาอารามเท่านั้น
แต่มีมัณฑนากรระดับอาจารย์ท่านหนึ่ง ที่พยายามทุ่มเทและผลักดันให้ศิลปะของไทย
ได้มีโอกาสเข้าไปแทรกตัวในงานตกแต่งภายในของคฤหาสน์เศรษฐีบ้าง
จรินทร์ รอดประเสริฐ คือมัณฑนากรท่านนั้น
จรินทร์ หรือ อ. จรินทร์ ของลูกศิษย์ลูกหา จบสถาปัตยกรรมศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เมื่อปี 2508 และได้เริ่มงานเป็นอาจารย์สอนทางด้านมัณฑนศิลป์ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร
โดยไม่ได้ไปศึกษาต่อในต่างประเทศเลยเพียงแต่ได้ไปดูงานเป็นครั้งคราว จรินทร์รับราชการที่มหาวิทยาลัยศิลปากรอยู่ถึง
19 ปี จึงได้ออกมาตั้งบริษัทเป็นของตัวเอง โดยใช้ชื่อว่า สำนักงานสถาปนิกและออกแบบภายในจรินทร์
รอดประเสริฐ โดยได้ฝากผลงานอาคารและการตกแต่งคฤหาสน์เศรษฐีมากมาย
จรินทร์ได้เล่าให้ฟังถึง ความเป็นมาของรสนิยมการตกแต่งของคฤหาสน์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันว่า
เมื่อย้อนหลังไปสัก 25-30 ปี จำนวนของผู้มั่งคั่งระดับเศรษฐีหรือมหาเศรษฐี
มีจำนวนไม่มากเท่าปัจจุบัน แต่เมื่อมาถึงช่วงที่เศรษฐกิจบูมสุดขีดเช่นเดี๋ยวนี้ได้มีผู้มั่งคั่งทางการเงินเกิดขึ้นมากมาย
จึงมีกำลังทรัพย์เพียงพอที่จะตกแต่งบ้านให้หรูหราขึ้นอีกระดับหนึ่ง ได้ทำให้ปริมาณงานตกแต่งที่มีความหรูหรายิ่งขยายวงกว้างออกไปมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
ในสมัยก่อน งานที่ดูหรูหราส่วนใหญ่มักจะเป็นงานที่มีลวดลายแกะสลักเป็นตัวนำ
แต่ในปัจจุบันเมื่อมีวัสดุเกิดขึ้นใหม่มากมายที่จะนำมาใช้ทดแทนได้ จึงทำให้การแกะสลักขนานแท้
ลดบทบาทลงไปบ้าง แต่ทั้งของใหม่และเก่า ก็ต้องดูที่รสนิยมของเศรษฐีเองว่า
ชอบแบบไหนมากกว่ากัน
เกี่ยวกับผลงานตกแต่งภายใน ที่แสดงความเป็นไทยนั้นจรินทร์ได้มีโอกาสฝากผลงานไว้บ้าง
แต่ไม่มากนัก เพราะกระแสวัฒนธรรมการตกแต่งภายในจากต่างชาตินั้นนับวันมีแต่เพิ่มขึ้น
จะมีประปรายเฉพาะงานใหญ่ ๆ เพียงไม่เกินปีละ 2-3 งานเท่านั้น ซึ่งนับว่ายังน้อยมาก
กระแสวัฒนธรรมการตกแต่งจากต่างชาติ ที่ อ. จรินทร์หมายถึงนั้น ได้มีผลสืบทอดมาจากการปลูกฝังด้านค่านิยมในงานสถาปนิกอาคารสมัยใหม่
ที่สถาปนิกหลายท่านที่มีชื่อเสียงในวงการ ที่พยายามรับเอาวัฒนธรรมด้านสถาปนิกทั้งแบบยุโรป
หรือโรมันเข้ามาโดยไม่มีการแต่งแก้ให้มีกลิ่นอายของความเป็นไทยอยู่บ้าง
จรินทร์รู้สึกทอดถอนใจที่จะต้องกล่าว ถึงเรื่องเหล่านี้เพราะได้พยายามต่อต้านแนวความคิดเหล่านี้มาตลอด
แต่ในที่สุดก็มีอาคารรูปแบบดังกล่าวผุดขึ้นอย่างมากมาย แม้ว่าจะมีสถาปนิกหลายท่าน
ที่พยายามฝืนกระแสโดยการเสริมความเป็นไทยเข้าไปในงานของตัวเองบางจุดแล้วก็ตาม
แต่ก็ยังไม่เพียงพอ
"กระแสความคิดของสถาปัตยกรรมภายนอกอาคาร ที่เรารับมาอย่างผิด ๆ ได้มีผลปลูกฝังให้เจ้าของอาคาร
เมื่อต้องไปสร้างบ้านตัวเอง ก็เลือกเอาศิลปกรรมแบบยุโรปหรือโรมัน ไปใช้บ้างทั้งภายนอกและภายใน"
แต่จรินทร์ก็ยังหวังจะเดินหน้าผลักดันให้ผู้มีอันจะกินที่มีกำลังทรัพย์มาก
ๆ หันมาสนใจงานตกแต่งภายในด้วยรูปแบบความเป็นไทยมากขึ้น เพราะคนระดับบน จะเป็นผู้มีบทบาทอย่างสูงในการจุดประกายให้คนในสังคมทั่วไปเห็นความสำคัญในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี
ปัญหาและอุปสรรคในการผลักดันให้ประดาเศรษฐีสนใจงานตกแต่งภายในแบบไทยมากขึ้นนั้น
อยู่ที่เจ้าของงานและผู้ออกแบบทั้ง 2 ฝ่ายมีจิตสำนึกเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร
เจ้าของงานอาจไม่แน่ใจว่างานที่ออกมาจะสวยเหมือนกับรูปแบบต่างชาติที่ตนคุ้นเคยหรือไม่
ในขณะที่ผู้ออกแบบก็ไม่ได้พยายามผลักดันให้เจ้าของงานหันมาสนใจในเรื่องนี้อย่างจริงจัง
โดยรูปแบบงานศิลปะของไทยนั้น เนื่องจากมีลักษณะดั้งเดิมที่บรรพบุรุษไทยได้สร้างสรรค์ไว้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่โดดเด่นไม่แพ้ชาติใดในโลก
มัณฑนากรรุ่นใหม่จึงพอจะมีแนวทางพัฒนางานของตน เพื่อให้เกิดผลงานออกแบบสมัยใหม่ที่มองเห็นความเป็นไทย
ในขณะที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนวัฒนธรรมตกแต่งที่มีอยู่ดาษดื่นในวงการขณะนี้ไปด้วย
แต่มัณฑนากรรุ่นใหม่ ก็ยังให้ความสนใจในเรื่องนี้น้อยมาก ๆ
"ผมมีความบริสุทธิ์ใจที่จะพยายามปกป้องหน้าตาของบ้านเมือง เราไม่ให้มีหน้าตาเป็นของชาติอื่นเพราะสถาปัตยกรรมคือหน้าตาของเมือง
หากเราไม่ช่วยกันพิทักษ์รักษา และหวงแหนไว้ วันหนึ่งข้างหน้าเราจะสูญเสียอารยธรรมให้กับต่างชาติโดยฝีมือของคนไทยกันเอง"
จรินทร์ ถอดใจพูดเพื่อกระตุ้นจิตสำนึกคนไทยทั้งหลาย
แม้ว่าจะยังไม่ได้รับแรงสะท้อนในแง่เห็นด้วยกับการกระตุ้นจิตสำนึกที่ผ่านมา
แต่ อ. จรินทร์ก็ยังไม่ลดละความพยายาม โดยได้หันไปกระตุ้นนิสิตที่กำลังศึกษาสถาปัตยกรรม
ในมหาวิทยาลัย ด้วยการตั้งทุน "เพื่อสถาปัตยกรรมสมัยใหม่" ด้วยการใช้เงินส่วนตัวมอบให้คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์
จุฬาฯ เพื่อจัดประกวดการออกแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ให้นิสิตทำขึ้นเพื่อแข่งขันภายในชั้นเรียน
มีเงินรางวัลสำหรับผู้ชนะการประกวดทุกปี
ทางลูกค้าเศรษฐี จรินทร์ ก็ใช้วิธีการชักชวนด้วยวาจา หรือแจก บทความให้เขาไปศึกษาถึงความเป็นไปได้ว่าจะนำไปใช้บ้านของตัวเองได้เพียงใดนอกจากนั้นแล้ว
อ. จรินทร์ยังมีความฝันสูงสุดที่จะรวบรวมแนวคิดการตกแต่งภายในแบบไทยสมัยใหม่
ออกมาเป็นรูปแล่น เพื่อเป็นการเผยแพร่สู่สาธารณะ
"ตอนนี้ผมกำลังหาทุนสักก้อนหนึ่ง ประมาณ 3 ล้านบาทที่จะจัดพิมพ์แนวความคิดนี้ออกมา
เพื่อเผยแพร่ให้คนในวงการ ได้มีความสำนึกเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยไม่คิดมูลค่าแต่อย่างใด
งานแนวนี้เป็นของใหม่ที่จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากสถาปนิกและมัณฑนากรหลาย
ๆ คน ช่วยกันคิดช่วยกันทำในมุมมองต่าง ๆ กัน หากได้ผลงานออกมาเป็นจำนวนมาก
ๆ ก็จะเห็นแนวทางของผลงานออกแบบไทยสมัยใหม่ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น" อ. จรินทร์กล่าวถึงความตั้งใจของตน
ก็คงต้องมาให้กำลังใจกับอินทีเรียร์ระดับอาจารย์ท่านนี้ที่จะหาญกล้าฝ่ากระแสคลื่นวัฒนธรรมตกแต่งภายในของฝรั่งต่างชาติ
ที่โหมพัดเข้ามาเป็นระลอก และยังไม่มีวันจะเจือจางหายไป
และคงต้องเตือนตัวเองด้วยว่า วันนี้คุณช่วยอนุรักษ์