Simple Life

โดย สุภัทธา สุขชู
นิตยสารผู้จัดการ( กันยายน 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

ที่พักของเศรษฐีที่รวยเป็นอันดับที่ 29 ของเมืองไทย คุณคิดว่าจะโอ่โถงเพียงไหน... บ้านหินอ่อน โซฟาหลุยส์ แชนเดอเลียหรูจากอิตาลี โฮมเธียเตอร์ครบชุด ชุดเฟอร์นิเจอร์ไม้สักทองโบราณ จากุซซี่ขนาดยักษ์ ห้องฟิตเนสครบวงจร...ที่กล่าวมาไม่มีสักอย่าง ณ บ้านพักของวิกรมที่เขาใหญ่

สู่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ สองข้างทางเขียวไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าสลับวิวเนินเขา

จากทางเข้าเล็กๆ เรือนแพสองหลังกลางบึงบัว ถูกโอบล้อมด้วยภูเขาเขียว หลังที่เล็กกว่าคือ บ้านพักของวิกรม กรมดิษฐ์

ชายร่างสูงวัย 54 ปี ที่ออกมาต้อนรับในเสื้อผ้าฝ้ายสีเปลือกไข่ นุ่งโสร่งสีดำสนิท ที่มาพร้อมกับรองเท้าแตะยางสีฟ้า และผ้าขาวม้าที่พาดคอ ออกมายิ้มแย้มทักทายแขกผู้มาเยือน เขาก็คือ CEO แห่งอมตะ ที่มีรายได้จากเงินปันผลอย่างเดียววันละเกือบหนึ่งล้านบาท

"ผ้าขาวม้านี่ดีนะ ใช้กันฝน กันหนาว กันแดด ปัดยุง คาดเอว ปูนอน ห่อของ ใส่แทนกางเกง ฯลฯ ซิมเปิ้ล (simple) จะตาย นี่แหละชีวิตที่เป็นรากเหง้าที่มาของต้นกำเนิด ความเป็นมนุษย์" วิกรมเริ่มต้นบรรยายถึงเสน่ห์แห่งความเรียบง่ายและความเป็นธรรมชาติ ไล่ตั้งแต่ผ้าขาวม้า เสื้อผ้า ไปยังบ้านพักของเขา

การแต่งตัวและสิ่งแวดล้อมในชีวิตที่ดูเรียบง่าย แทบจะลบภาพเพลย์บอยของวิกรมออกไปได้หมด

"ผมเป็นคนไม่ค่อยมีเสื้อผ้า แต่รู้จักแต่งตัว การแต่งตัวของผมจะง่ายๆ แต่เป็นเอกลักษณ์ ตอนนี้ชุดที่ผมชอบสุดคือจีวรพระ โปร่งเบาสบาย การระบายอากาศดีที่สุดเลย ใส่กันมากว่า 2,500 ปี เป็นภูมิปัญญาที่ผมชอบมาก คลาสสิกที่สุด เพียงแต่เราต้องใช้สีอีกแบบ ตอนนี้ผมให้ เขาทำไว้แล้วแต่ยังไม่ได้ใส่"

วิกรมซื้อที่ดินติดอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ (ซึ่งอยู่แปลงใกล้กัน) สำหรับปลูกบ้านที่เขาใหญ่เมื่อต้นปีนี้ หลังจากตกหลุมรัก ผืนป่าเขาใหญ่มาตั้งแต่ 20 กว่าปีก่อน จนเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว เขาจึงติดต่อขอผูกแพอยู่ในที่ดินของเพื่อน และใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่นี่

ห้องนอนขนาดย่อม เปิดรับลมถึง 3 ด้าน ทำให้เครื่องปรับอากาศกลายเป็นสิ่งไม่จำเป็นสำหรับที่นี่ ภายในห้องไม่มีเฟอร์นิเจอร์ราคาแพง ที่ดูจะมีราคาที่สุดก็คือคอมพิวเตอร์ที่วิกรมใช้ในการติดต่อสื่อสาร เช็กข้อมูลข่าวสาร และที่สำคัญคือเช็กราคาหุ้น โดยอาศัยจานดาวเทียม IP Star จากแพข้างๆ

ในวันปกติของวิกรม นอกจากเวลากินข้าว เขาแทบจะไม่ได้พูดคุยและพบปะใคร เขาใช้เวลาเขียนต้นฉบับวันหนึ่งกว่า 10 ชั่วโมง บนแพหลังน้อยนี้มีเพียงกระดาษ A4 ยี่ห้อ "For Vikrom Kromadit Only" ซึ่งทำขึ้นมาพิเศษเพื่อเขา และหน้าจอหุ้นระบบเรียลไทม์ เป็นเพื่อนสนิท

"ตอนนี้ผมเป็นคนไม่มีเวลาทำงาน เอาความสบายใจของตัวเองเป็นเกณฑ์ ถ้าไม่มีอารมณ์ก็นอนฟัง Ray Charles บ้าง Mozart บ้าง จนกว่าจะมีอารมณ์" วิกรมคงเข้าถึงขั้นอารมณ์ศิลปินแล้วจริงๆ

โดยทั่วไปกิจวัตรประจำวันของ CEO คนนี้จะเริ่มตอนตี 1-2 ลุกขึ้นนั่งสงบจิตสงบใจ ครึ่งชั่วโมงพอให้ความรู้สึกตกผลึก แล้วจึงเริ่มเขียนต้นฉบับสำหรับหนังสืออัตชีวประวัติทั้ง 4 ซีรีส์ของเขา ซึ่งเขียนไปแล้วร่วม 5 พันหน้า จากทั้งสิ้นกว่า 2 หมื่นหน้า พอเวลา 7.00 น. ฟังข่าววิทยุจน 9.00 น. จึงลุกขึ้นมา ขีดเขียนอีกครั้ง แต่หากวันไหนต้องจัดรายการ CEO Vision เขาจะใช้โทรศัพท์มือถือออกอากาศจากแพแห่งนี้ พอเที่ยงก็กินข้าวไปดูทีวี ไปที่แพข้างๆ พอบ่ายก็กลับมานอนพัก ก่อนจะลุกขึ้นมาเขียนต่อ

แดดร่มลมตกเขามักจะออกไปเดินจ๊อกกิ้งโดยมีถนนเลียบอุทยานเป็นลู่วิ่ง แทนสายพานบนเครื่องออกกำลัง กลับมาก็พักผ่อนนอนดื่มไวน์บนเตียงพับที่แพ ฟังเสียงนกเสียงลม ชมท้องฟ้าและภูเขา มองแผ่นน้ำ ปล่อยจินตนาการให้ไหลเรื่อยๆ ตามสายน้ำ หลายไอเดียเจ๋งๆ ก็เกิดขึ้นชั่วขณะนี้ ซึ่งผลงานชิ้นเอกก็เช่น อมตะ คาสเซิล และระบบแบ่งผลกำไรที่ใช้ในการบริหารบริษัทอมตะ และมูลนิธิฯ

พอพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ความมืดเข้าครอบคลุม เป็นเครื่องบอกว่าถึงเวลาพัก โดยไม่ต้องมีนาฬิกาผูกมัดที่ข้อมือ วิกรมจะนั่งสมาธิเพื่อความสงบทางใจ และผ่อนคลายสมอง เป็นการให้รางวัลกับตัวเองสำหรับผลงานวันนั้น พอ 2 ทุ่มก็ไปกินข้าว ดูรายการข่าว ดูมวยปล้ำ ซึ่งเป็นรายการโปรด ก่อนจะกลับมานอน

สิ่งแปลกปลอมที่มีราคาแพงที่สุดในชีวิตที่เขาใหญ่ของวิกรม เห็นจะเป็นพาเหรดรถราคาแพง ซึ่งเป็น "passion" ที่เขายังผูกติดอยู่ ลัมโบกินีสีดำราคา 30 กว่าล้าน กับรถมอเตอร์ไซค์ BMW GS Dakka ราคาครึ่งล้าน จอดคู่กันอยู่หน้าทางเดินก่อนลงแพ นอกจากนี้ ยังมี Harley Davidson Damler เฟอร์รารี่ พอร์ช โรลสรอยซ์ แฟนทอม ไฟว์ ฯลฯ ที่ กำลังจะตามมาจอด ณ บ้านหลังใหม่ที่เขาใหญ่ในแปลงถัดไป โดยวิกรมตั้งงบไว้สำหรับรถแสนรักเหล่านี้ถึง 100 ล้านบาท

"มีคนมองว่าผมไม่ปกติ แต่ผมว่าผมเป็นคนปกติ เพราะกำเนิดของมนุษย์คือธรรมชาติ ผมกำลัง back to the nature แต่คนที่มองผมไม่ปกติเพราะเขาถูกสิ่งแวดล้อมที่เป็นป่าคอนกรีต ถูกสังคมพาไป จึงไม่คุ้นเคยกับธรรมชาติ ไม่คุ้นเคยกับชีวิต simple ที่ไม่ต้องแอบแฝง ไม่ต้องตีไข่ใส่สีอย่างนี้"

วิกรมพูดด้วยน้ำเสียงสงสารบรรดามนุษยชาติส่วนใหญ่ที่ยังต้องวิ่งวุ่นเวียนวนอยู่กับโลกที่กำลังถูก "สังคม" ปั่นหัว และเป็นมนุษย์หุ่นยนต์ที่ถูกตั้งโปรแกรมด้วยเข็มนาฬิกา

"จริงๆ มนุษย์เรา ถ้ารู้และเห็นตัวเอง ก็จะรู้ว่าตัวเราเป็นอะไร ต้องการอะไร และจะเข้าใจว่าตัวตนที่แท้จริงของเราคืออะไร ต้องการอะไร แล้วจะไม่ผูกติด ไม่มีมารยา ไม่มีอารมณ์ ไม่มีกิเลส ซึ่งที่นี่ก็คือภาคตัวตน ที่แท้จริงของผม"

ในทางธุรกิจหลังจากโอนหุ้นในอมตะทั้งหมดที่มีให้กับมูลนิธิอมตะ วิกรมตั้งใจว่าจะใช้เวลาสักพักใหญ่เพื่อเตรียมตัวลาออกจากการเป็น CEO ของอมตะ และไม่ผูกติดกับเศรษฐกิจอีกต่อไป เพื่อใช้ชีวิตแบบที่ต้องการทำอะไรก็ได้ไม่ต้องกังวล ปลอดพันธนาการทางสังคมที่ผูกไว้ เมื่อนั้นเราอาจจะได้เห็นชายสูงวัยในชุดจีวรพระสีขาวพร้อมผ้าขาวม้า ขับเฟอร์รารี่ไปนั่งกินข้าวที่โอเรียนเต็ลก็ได้

"ผมมีเอกลักษณ์อย่างนี้เพื่อเป็นกลอุบายที่ไม่ต้องถูกสังคมผูกมัด พอวันหนึ่งเมื่อสังคมไม่ต้องการผมอีกแล้ว ก็ถือว่าเราอิสระทั้งความคิด สิ่งแวดล้อม การแต่งกาย และสังคม ไม่เกินอีก 2-3 ปีก็คงจะเป็นภาพนั้น" วิกรมบรรยายความฝันถึงชีวิตหลัง "ช่วงดักแด้" ได้อย่างเห็นภาพ


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.