"วิชัย"หยุดเทรดหุ้นแหยงเอ็นพีแอลคืนชีพ-ถือเงินสดลดเสี่ยง


ผู้จัดการรายวัน(29 สิงหาคม 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

"วิชัย ทองแตง" จากบทบาททนายสู่การเป็นนักธุรกิจ มองเศรษฐกิจไทยยังไม่น่าวิตกแต่เชื่อปัญหาการเมืองฉุดนักลงทุนกลุ่มใหม่ที่เตรียมเข้ามาลงทุน พร้อมเผยชะลอเทรดหุ้นเน้นถือเงินสดมา 4-5 เดือนแล้วหลังเห็นสัญญาณเอ็นพีแอลไม่น่าไว้ใจ ปฎิเสธฉายา"เจ้าพ่อเทกโอเวอร์" ลั่นแค่ถนัดซื้อกิจการที่มีปัญหามาปัดฝุ่นใหม่ มั่นใจธุรกิจสุขภาพ-โรงพยาบาลอนาคตสดใส ติงภาครัฐไม่ทุ่มเทประชาสัมพันธ์ Health Hub

นายวิชัย ทองแตง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ประสิทธิ์พัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ PYT และผู้ถือหุ้นในอีกหลายบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ได้เปิดใจให้ "ผู้จัดการรายวัน" ได้สัมภาษณ์ถึงมุมมองทางเศรษฐกิจในฐานะนักธุรกิจและนักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหุ้นไทยว่า ส่วนตัวมองว่าเศรษฐกิจของประเทศในขณะนี้ยังไม่ได้มีเรื่องที่ต้องวิตกกังวลมากนัก แม้ว่านักลงทุนหน้าใหม่ที่เตรียมพร้อมจะเข้ามาลงทุนในไทยจะชะลอการลงทุนไปบ้างเนื่องจากปัจจัยทางการเมือง

ทั้งนี้ ประเทศไทยยังถือว่ามีจุดแข็งในเรื่องที่จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจด้านการบริการ การท่องเที่ยว โรงแรม รวมถึงโรงพยาบาล ซึ่งถือว่าเป็นรายได้หลักที่สำคัญของประเทศทั้งในปัจจุบันและในอนาคต โดยปัญหาทางด้านการเมืองในช่วงที่ผ่านมายังไม่ส่งผลที่ชัดเจนนักต่อภาพรวมของธุรกิจทางด้านบริการซึ่งเห็นได้จากตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เข้ามาพักผ่อน รวมถึงเข้ามารักษาพยายามไม่ได้ปรับตัวลดลง

ขณะที่ในด้านการลงทุนในตลาดหุ้นซึ่งส่วนตัวยังมีความสนใจทั้งในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน, ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รวมถึงธุรกิจบริการ แต่ในช่วงที่ผ่านมาเริ่มเห็นสัญญาณตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ทางด้านเศรษฐกิจของประเทศในครั้งที่ผ่านมา จึงเริ่มชะลอการลงทุนมาโดยตลอดประมาณ 4-5 เดือนที่ผ่านมา โดยหันมาถือเงินสดเพื่อรอประเมินสถานการณ์ในอนาคตว่าจะเกิดอะไรขึ้น

"ผมชะลอการลงทุนมา 4-5 เดือนแล้ว จะมีบ้างก็เป็นหุ้นในกลุ่มพลังงานเพราะผมเห็นตัวเลข NPL แล้วยังไม่ค่อยมั่นใจเพราะในอดีตเคยสร้างปัญหาให้กับประเทศมาแล้ว ผมเลือกที่จะถือเงินสดเพื่อรอจังหวะเวลาที่เหมาะสมมากกว่า แต่ผมไม่อยากตอบแทนนักลงทุนคนอื่นว่าตอนนี้ตลาดหุ้นน่าสนใจหรือไม่ แต่ส่วนผมเลือกถือเงินสดมากกว่าจะลงทุน" นายวิชัยกล่าว

นายวิชัย กล่าวอีกว่า คำนิยามส่วนตัวที่หลายคนมักจะเรียกว่าเจ้าพ่อเทกโอเวอร์ตนเองไม่ยอมรับในเรื่องฉายาดังกล่าว เนื่องจากตนเองเป็นเพียงนักธุรกิจคนหนึ่งที่สนใจในเรื่องการลงทุน แต่ส่วนตัวอาจจะชอบการเข้าซื้อกิจการที่เป็นกิจการที่มีปัญหาเพื่อนำมาปรับแก้ แต่ในเรื่องการเข้าไปซื้อกิจการจะเป็นการหารือกับผู้บริหารก่อน โดยจะไม่เข้าไปในลักษณะศัตรูหรือครอบงำกิจการ

"ผมไม่ใช่เจ้าพ่อเทกโอเวอร์ ผมเป็นเพียงนักลงทุนคนหนึ่งแต่อาจจะชอบการลงทุนในบริษัทที่อยู่ในกลุ่มฟื้นฟูกิจการเพราะผมถนัด ซึ่งผมปฎิเสธฉายาที่เค้าเรียกมาโดยตลอด ส่วนเรื่องที่จะเข้าไปซื้อกิจการผมจะคุยกับผู้บริหารเค้าก่อนผมอยากเป็นมิตรมากกว่าเป็นศัตรูอยู่แล้ว" นายวิชัยกล่าว

สำหรับเรื่องการยุติความขัดแย้งระหว่างตนเองกับดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อดีตผู้บริหารโรงพยาบาลพญาไท ขณะนี้ได้ข้อยุติอย่างเป็นทางการแล้ว โดยจะเป็นการแยกการบริหารกันโดยชัดเจน ซึ่งกลุ่มทองแตงจะดูแลการบริหารในส่วนของโรงพยาบาลพญาไท แต่กลุ่มดร.อาทิตย์จะดูแลในส่วนของมหาวิทยาลัยรังสิต โดยประสิทธิพัฒนาในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ก็พร้อมจะสนับสนุนการบริหารรวมถึงทุนให้มหาวิทยาลัยรังสิตหากจำเป็น

ในส่วนของการบริหารงานหลังจากนี้ของบมจ.ประสิทธิ์พัฒนา จะเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องโดยได้เตรียมเงินประมาณ 2 พันล้านบาท เพื่อลงทุนในเครื่องมือแพทย์ ปรับปรุงสถานที่ รวมถึงงานด้านไอที เพื่อเตรียมความพร้อมสานต่อนโยบายของภาครัฐเกี่ยวกับการสร้างให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการรักษาพยาบาลและการดูแลสุขภาพของเอเชีย โดยจุดเด่นของธุรกิจนี้สำหรับประเทศไทย คือ ความสามารถของแพทย์ไทยที่ได้รับการยอมรับไปทั่วโลก รวมถึงมิตรไมตรีของบุคลากรทางด้านการแพทย์ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เข้ามาใช้บริการในประเทศไทย และสิ่งที่น่าจะสำคัญที่สุดที่เป็นแรงดึงดูดคือเรื่องราคาค่าบริการที่น่าจะถูกที่สุดในโลก

อย่างไรก็ตาม ในเรื่องการส่งเสริมทางด้านนโยบายของภาครัฐเกี่ยวกับการยกระดับในด้านการแพทย์ของไทยแม้ว่าภาครัฐจะให้ความสนใจ แต่ภาครัฐยังไม่ให้น้ำหนักในการประชาสัมพันธ์มากเท่าที่ควร

"รัฐมาถูกทางในเรื่องการมองอนาคตของธุรกิจด้านการบริการว่าในอนาคตธุรกิจดังกล่าวจะเป็นธุรกิจที่สำคัญของไทย แต่ที่ผ่านมายังไม่มีการทุ่มเทการให้น้ำหนักมากนัก ส่วนการเลือกเข้ามาธุรกิจนี้ไม่ใช่เพราะผมคนเดียวแต่เป็นเพราะครอบครัวทองแตงตัดสินใจเลือก" นายวิชัยกล่าว

นายวิชัย กล่าวอีกว่า การเร่งดำเนินการเพื่อขยายธุรกิจของบมจ.ประสิทธิ์พัฒนา จะส่งผลต่องบการเงินของบริษัทอย่างแน่นอน โดยน่าจะทำให้บริษัทต้องอยู่ในภาวะขาดทุนสุทธิอย่างน้อย 2 ปี แต่เรื่องดังกล่าวจะส่งผลดีต่อบริษัทในอนาคตแน่นอน

ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการดำเนินงานเพื่ออธิบายรายละเอียดให้กับตลาดหลักทรัพย์ถึงเรื่องแผนงานของบริษัทซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทมีแผนที่จะยื่นขอผ่อนผันกับตลาดหลักทรัพย์ เพื่อย้ายไปซื้อขายในหมวดปกติแต่ยังไม่ผ่านกฎเกณฑ์บางอย่างในเรื่องผลการดำเนินงาน แต่กรรมการอิสระของบริษัทท่านหนึ่งได้ท้วงติงว่าหากมีการยื่นขอผ่อนผันอาจจะส่งผลกระทบต่อบริษัทและผู้ถือหุ้นรายย่อย เนื่องจากราคาหุ้นหลังจากที่กลับมาซื้อขายเป็นปกติอาจจะปรับตัวลดลงค่อนข้างมากจากผลการดำเนินงานของบริษัท

"เรากลับมาทบทวนใหม่อีกครั้งหลังจากได้รับข้อท้วงติงซึ่งเราก็คิดว่ามีเหตุผล เราจึงจะให้กระบวนการในเรื่องการยื่นข้อมูลเรื่องแผนงานของบริษัทเป็นไปตานกระบวนที่ควรจะเป็น เพราะไม่อยากให้กระทบกับภาพลักษณ์ของบริษัทและผู้ถือหุ้นรายย่อยกว่า 4 พันราย" นายวิชัย กล่าว

นายวิชัย กล่าวอีกว่า ความผิดพลาดในเรื่องการลงทุนที่เคยเกิดขึ้นกับตนเอง คือการเข้าไปลงทุนในบริษัท ไดโดมอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ DAIDO โดยไม่มีการเข้าไปตรวจสอบสินทรัพย์ (ดีลดีลีเจนท์) ทำให้ส่งผลกระทบทั้งต่อตนเองและต่อผู้ถือหุ้นของบริษัท ซึ่งตนเองจะเดินหน้าเพื่อให้หุ้น DAIDO สามารถกลับเข้ามาเทรดให้ตลาดหลักทรัพย์ให้เร็วที่สุด


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.