|
จัดสรรฝากความหวังรัฐบาลใหม่นักเศรษฐศาสตร์ฟันธงศก.เดี้ยงยาว 3ปี
ผู้จัดการรายสัปดาห์(28 สิงหาคม 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
*ถึงตอนนี้ใครๆ ก็ฝากความหวังไว้ที่รัฐบาลชุดใหม่ ว่าจะเป็นอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วยฉุดภาวะเศรษฐกิจพ้นเหว
*ผู้ประกอบการตีปีกปรับตัวรับกระแสเศรษฐกิจฟื้นตัวช่วงครึ่งปีหลัง แห่เปิดตัวโครงการใหม่จ้าละหวั่น หวังสร้างยอดขายทดแทนช่วงครึ่งปีแรก
*ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์มองข้ามมิติ ฟันธงถึงมีรัฐบาลใหม่ก็ไม่ทำให้เศรษฐกิจฟื้นทันที ต้องรอถึงปี 2552 จึงจะฟื้นตัวชัดเจน
ต้องยอมรับว่าในระยะนี้ใครๆ ก็ฝากความหวังไว้ที่การเลือกตั้ง และรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศให้ประสบความสำเร็จ เพื่อเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุน แล้วกระทบชิ่งไปให้ภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัว เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ
เพราะที่ผ่านมาประเทศต้องประสบกับความอึมครึมในทุกด้าน โดยเฉพาะการเมืองเป็นประเด็นหลักๆ ที่ทำให้นักลงทุนหยุดลงทุน รวมถึงกำลังซื้อชะลอตัว เพื่อรอดูทิศทางของภาวะเศรษฐกิจทำให้ผลประกอบการของทุกอุตสาหกรรมตกต่ำ โดยอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นธุรกิจที่อิงกับสภาพเศรษฐกิจพอสมควร ได้รับผลกระทบอย่างหนัก จนทำให้ผลประกอบการที่ออกมาไม่สวยหรูเท่าที่ควร
“ผลประกอบการของบริษัทพัฒนาที่ดินในช่วงครึ่งปีแรกที่แต่ละค่ายประกาศออกมานั้น เป็นภาพที่สะท้อนให้เห็นถึงสภาพธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นอย่างดีว่าอยู่ในช่วงล้มลุกคลุกคลานแค่ไหน”
เหตุผลสำคัญที่ทำให้ธุรกิจตกอยู่ในสภาพดังกล่าว คงหนีไม่พ้นเหตุผลเดิมๆ ที่บรรดาผู้ประกอบการนำมาชี้แจง นั่นคือความอึมครึมทางการเมือง ,ดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น น้ำมันแพง เงินเฟ้อ และค่าครองชีพสูงขึ้น ทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีแรกสอบตกอย่างสิ้นเชิง
ครึ่งปีหลังพิสูจน์ฝีมือ
อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังจะเป็นช่วงพิสูจน์ฝีมือของผู้ประกอบการอย่างแท้จริง เพราะปัจจัยลบต่างๆ ล้วนคลี่คลายลงในทิศทางที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเมืองที่หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง คงจะมีการเลือกตั้งในเดือนต.ค.นี้ รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มมีเสถียรภาพ ส่วนราคาน้ำมันและค่าครองชีพที่อยู่ในเกณฑ์สูงนั้น ผู้บริโภคเริ่มเคยชิน และทำใจยอมรับได้ จึงเชื่อว่า ในช่วงครึ่งปีหลังบรรยากาศการซื้อขายที่อยู่อาศัยน่าจะเริ่มกระเตื้องขึ้น และเห็นภาพดีขึ้นในราวต้นปีหน้า
อดิศร ธนนันท์นราพูล กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากปัจจัยลบต่างๆ ที่รุมเร้าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทำให้กำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีแรกลดลงจาก 2,512 ล้านบาท เหลือเพียง 1,438.61 ล้านบาท หรือลดลงราว 42.73% เนื่องจากยอดขายลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนจำนวน 2,159.16 ล้านบาท คิดเป็นอัตราลดลง 20.70 %
จากตัวเลขยอดขายที่ลดลง ทำให้บริษัทต้องปรับประมาณรายได้ตลอดทั้งปีใหม่ จากเป้าเดิม 24,000 ล้านบาท ลดลงเหลือ 22,000-23,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตที่ลดลง แต่จะพยายามไม่ให้มีการเติบโตแบบติดลบ
แลนด์ฯขายเงินลงทุนดันรายได้โต
สำหรับรายได้ในปีนี้ หลักๆจะมาจากการขายบ้านจัดสรรโครงการเดิม 18,000-19,000 ล้านบาท โครงการ The Terrace ซึ่งเป็นทาวน์เฮาส์ แบรนด์ใหม่ 500-600 ล้านบาท และรายได้จากค่าเช่า ซึ่งหากบริษัทมีรายได้เฉพาะจากการขายจะทำให้มีรายได้ลดลงมาก และเพื่อไม่ให้รายได้ลดลงมากนัก บริษัทจึงพยายามหารายได้อื่นมาทดแทน โดยจะมีรายได้จากรายการพิเศษ ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะมาจากการขายเงินลงทุน เพราะบริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ หรือ คิวเฮ้าส์ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือแลนด์ มีแผนที่จะตั้งกองทุนขนาดใหญ่ มูลค่าถึง 10,000 ล้านบาท ขณะที่ทรัพย์สินของคิวเฮ้าส์ที่จะขายเข้ากองทุนมีไม่มากพอ จึงมีความเป็นไปได้ที่แลนด์ฯจะขายเงินลงทุนบางส่วนเข้ากองทุนดังกล่าว
การใช้วิธีขายเงินลงทุน นอกจากจะช่วยให้แลนด์มีผลประกอบการในปีนี้มีการเติบโตแล้ว ยังช่วยให้บริษัทคิวเฮ้าส์ สามารถตั้งกองทุนขนาดหมื่นล้านได้สำเร็จอีกด้วย ที่สำคัญยังจะมีเม็ดเงินเหลือจำนวนมาก เพื่อนำมาใช้ในการขยายฐานธุรกิจของคิวเฮ้าส์ รวมถึงยังช่วยเพิ่มกระแสเงินสดให้กับธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) หรือ LH BANKซึ่งแลนด์ฯถือหุ้นอีกด้วย
ด้านนพร สุนทรจิตต์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการ กล่าวเสริมว่า ในช่วงครึ่งปีแรก บริษัทส่งมอบบ้านจำนวน 1,381 หน่วย แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 1,346 หน่วย คอนโดมิเนียม 35 หน่วย โดยในชวงครึ่งปีหลังจะเปิดตัวโครงการใหม่ 8 แห่ง เป็นบ้านเดี่ยว 6 แห่ง และทาวน์เฮาส์ 2 แห่ง จากที่ในช่วงครึ่งปีแรกเปิดโครงการใหม่แล้ว 4 แห่ง มูลค่าโครงการที่เปิดตัวในปีนี้ 25,736.7 ล้านบาท
นพร กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง สภาพเศรษฐกิจและตลาดอสังหาริมทรัพย์น่าจะปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะจากภาวะการเมืองที่จะมีความชัดเจนขึ้น จากการเลือกตั้งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือนต.ค.นี้ และจะมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศ ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้น ผู้บริโภคจะมีความเชื่อมั่นในภาวะเศรษฐกิจและกลับมาซื้อที่อยู่อาศัยเช่นเดิม โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความต้องการและมีกำลังซื้อจะกลับมาซื้อบ้านทันที หากมีสัญญาณว่าเศรษฐกิจจะดีดตัวขึ้น
เพอร์เฟคฯหนีคู่แข่ง
ขณะที่บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) ที่แม้ว่าในช่วงก่อนหน้านี้จะมีการปรับตัว เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ชะลอตัว แต่ก็หนีไม่พ้นพิษสงของสภาพโดยรวมของเศรษฐกิจ ซึ่งยอดขายและกำไรลดลงเช่นเดียวกับบริษัทพัฒนาที่ดินรายอื่น เนื่องจากปัจจัยหลักๆ คือการเมือง ดอกเบี้ยสูง น้ำมันแพง แต่คาดว่าในช่วงไตรมาสสุดท้ายปัจจัยลบต่างๆ จะคลี่คลายลง จากการเลือกตั้งและมีรัฐบาลชุดใหม่มาบริหารประเทศ ซึ่งจะทำให้สภาพเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น
ธีระชน มโนมัยพิบูลย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะปรับตัวครั้งยิ่งใหญ่ ด้วยการลงทุนพัฒนาโครงการที่แตกต่างจากทั้งรูปแบบของตัวเอง และคู่แข่ง โดยจะทำบ้านภายใต้แนวคิดใหม่ New Trend Housing ซึ่งเป็นบ้านสำหรับคนรุ่นใหม่ ระดับราคา 1-3 ล้านบาท ซึ่งจะมีทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮาส์ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค
โดยในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จะเปิดตัวพร้อมกัน 9 ทำเล ครอบคลุมทุกพื้นที่ ได้แก่ รัตนาธิเบศร์ รังสิต บางใหญ่ ติวานนท์-วงแหวน พระราม 5 รามคำแหง อ่อนนุช ร่มเกล้า และพัฒนาการ โดยทุกทำเลอิงกับโครงข่ายคมนาคม
“ช่วงนี้ต้องยอมรับว่าการแข่งขันในตลาดคอนโดมิเนียม ราคา 1-2 ล้านบาทรุนแรงมาก ซึ่งในอนาคตอาจจะเจอปัญหาโอเวอร์ ซัปพลาย บริษัทจึงต้องการฉีกตลาดและหนีคู่แข่งไปทำสินค้าประเภทอื่น โดยจะเน้นพัฒนาโครงการประเภท บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮาส์แทน คอนโดมิเนียม แต่จะพัฒนาสินค้าในราคา 1-3 ล้านบาท”ธีระชน กล่าว
นอกจากการปรับเปลี่ยนรูปแบบการลงทุนแล้ว ธีระชน บอกว่า บริษัทยังได้ลดต้นทุนการก่อสร้างด้วยการนำระบบพรีแฟบเข้ามาใช้ในการก่อสร้างอีกด้วย ซึ่งจะช่วยย่นเวลาในการก่อสร้างบ้านเหลือเพียง 4 เดือนเท่านั้น จากปกติใช้เวลา 6-8 เดือน ทั้งนี้ การลดเวลาในการก่อสร้างยังช่วยให้บริษัทสามารถโอนบ้านได้เร็ว ซึ่งหมายถึงจะทำให้มียอดรับรู้รายได้เร็วขึ้นด้วย
สำหรับผลดำเนินการในช่วงครึ่งปีแรก บริษัทมียอดขาย 4,000 ล้านบาท จากเป้าทั้งปี 8,000 ล้านบาท มีรายได้รับรู้รวม 2,017 ล้านบาท จากเป้ารับรู้รายได้ทั้งปีรวม 5,000 ล้านบาท โดยมีกำไร 600 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 150 ล้านบาท
ฟันธงเศรษฐกิจเดี้ยงยาว
ด้านจีรศักดิ์ พงศ์พิษณุพิจิตร์ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้ความเห็นว่า “สำหรับงานก่อสร้างของเมกะโปรเจค มูลค่ากว่า 1.7 ล้านล้านบาท ที่ผู้รับเหมาหลายรายตั้งหน้ารอว่าจะมาช่วยพยุงฐานะในช่วงนี้ คงจะต้องรอไปอีก เพราะหากว่าในปีนี้มีการเลือกตั้งทั่วไปเกิดขึ้น และสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่หากไม่ใช่รัฐบาลชุดเดิมก็อาจจะต้องมีการรื้อโครงการใหม่ ซึ่งต้องผ่านขั้นตอนการดำเนินงานมากมาย กว่าจะได้มีการประมูลงานคงต้องรอไปถึงปี 2552 ช่วงนั้นเศรษฐกิจอาจจะฟื้นตัวดีขึ้นแล้ว แต่ทั้งนี้หากมีการก่อการร้าย หรือสงครามเกิดขึ้นอีกก็อาจจะส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นไปอีกได้ ซึ่งก็จะทำให้เศรษฐกิจซบลงไปอีกเช่นกัน แต่ทั้งนี้ในระยะสั้น คือ ปี 2550 หากผู้รับเหมาที่คาดหวังงานจากภาครัฐจะต้องเป็นโครงการที่ไม่ใหญ่นัก และเกี่ยวข้องกับการเมือง”
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|