AJFได้จังหวะออก2กองหุ้น


ผู้จัดการรายวัน(21 มกราคม 2546)



กลับสู่หน้าหลัก

นายเรืองวิทย์ นันทาภิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อยุธยาเจเอฟ จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ในระหว่างการยื่นขอจัดตั้งกองทุนที่ลงทุนในหุ้นกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)จำนวน 2 กองทุน มูลค่าขอจัดตั้งกองทุนละ 1,000 ล้านบาท เป็นกองทุนปิดที่ห้ามไถ่ถอนในระยะเวลา 1 ปี โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการจัดตั้งกองทุนได้ต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ และคาดว่าจะระดมเม็ดเงินใหม่จากทั้งสองกองทุนได้ประมาณ 1,000 ล้านบาท

สำหรับรูปแบบของกองทุนหุ้นของเอเจเอฟจะลงทุนในหุ้น 50% ถือเป็นรูปแบบกองทุนแบบใหม่ที่มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นค่อนข้างสูง โดยจะออกแบบมาให้เหมาะสมกับนักลงทุน 2 ประเภท กองแรกออกแบบให้เหมาะสมกับนักลงทุนที่รู้จักตลาดหุ้นดีพอสมควร ดังนั้น ภายใต้ความผันผวนจึงเป็นโอกาสที่จะนำเม็ดเงินใหม่เข้ามาลงทุนในตลาด กองที่สองออกแบบมาให้เหมาะกับนักลงทุนรายย่อยที่ยังกังวลกับการลงทุน แต่จังหวะของความกลัวจะเป็นโอกาสที่ดีของการลงทุน เพราะเมื่อไหร่ที่ทุกคนมั่นใจราคาหุ้นก็จะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นไปแล้ว

กรรมการผู้จัดการ บลจ.อยุธยาเจเอฟ กล่าวว่า จากผลตอบแทนการลงทุนหุ้นในอดีต และปีล่าสุดที่ให้ผลตอบแทนประมาณ 30% คาดว่าผลตอบแทนการลงทุนในกองทุนใหม่คงไม่ต่ำกว่าผลตอบแทนของตลาด โดยให้ความเห็นว่าผลตอบแทนการลงทุนในกองทุนหุ้นในแต่ละบริษัทมีโอกาสแตกต่างกันมากตั้งแต่ 5%-40% แต่การที่จะได้รับผลตอบแทนดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับนักลงทุนจะเลือกลงทุนกับบริษัทไหน

นอกจากนั้น ยังเชื่อว่าเงินออมที่มีอยู่ในระบบและรอจังหวะลงทุนมีอยู่จำนวนมาก แต่ไม่รู้จังหวะเข้ามาในช่วงไหนดี ดังนั้น การลงทุนในกองทุนซึ่งปิดการขาดทุนได้ประมาณ 10% ขณะที่ผลตอบแทนทีได้หากสูงถึง 50% แต่ในการลงทุนผ่านกองทุนนี้ได้รับผลตอบแทนกลับไปประมาณ 30% ก็น่าจะมีโอกาสที่ผลตอบแทนการลงทุนเหนือคนอื่น

"็ตัวเลขผลตอบแทนการลงทุนในกองทุนหุ้นของบริษัทที่ผ่านมาในระยะเวลา 5 ปี กว่า 70% แสดงให้เห็นว่าผลตอบแทนจากการบริหารกองทุนไม่ได้ฟลุ๊ค แต่การลงทุนในหุ้นต้องยอมรับว่ามีจังหวะ ดังนั้นจึงฟันธงว่าปีนี้เป็นโอกาสของการลงทุนของผู้ที่มีวินัยมีความรู้ในข้อมูลการลงทุนที่จะแปลงให้เป็นผลตอบแทนที่ดีในการลงทุนได้"

นายพนิช วิกฤตเศรษฐ์ กรรมการบริหารและผู้อำนวยการฝ่ายบริหารกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อยุธยาเจเอฟ จำกัด เปิดเผยว่า การจะคาดหวังผลตอบแทนการลงทุนในปีนี้ให้เหมือนกับ 1-2 ปีที่ผ่านมาคงเป็นไปได้ยาก และหากวางแผนการลงทุนผิดตั้งแต่ต้นปีผลตอบแทนการลงทุนที่ได้รับอาจจะผิดพลาดได้ เพราะมีปัจจัยความกดดันจากความผันผวนทั้งภายในและภายนอกประเทศ แต่อย่างไรก็ดี ภายใต้ความผันผวนจึงมีโอกาสที่ ดังนั้นการออกแบบกองทุนที่จึงสอดคล้องต้องสอดคล้องกับภาวะการณ์ดังกล่าว เพราะภายใต้ความผันผวนมีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดี

สำหรับกลยุทธการลงทุนในตลาดหุ้นปีนี้มี 2 กลยุทธ์ เพราะโอกาสหรือรอบของการลงทุนในปีนี้จะมากกว่าปีที่แล้ว จากเหตุการณ์ต่างๆที่เข้ามากระทบการลงทุนนั้นมีมากกว่า ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ ทั้งเรื่องเศรษฐกิจและสงคราม ซึ่งรอบการลงทุนไม่ใหญ่มากนัก เนื่องจากข่าวค่อนข้างพลิกเร็ว ดังนั้นรอบการลงทุนทั้งขาขึ้นขาลงจึงไม่ลึกมากนัก กลยุทธ์ในการบริหาร จึงต้องมีการซื้อขายมากขึ้น และเป็นรอบเล็กๆตามแนวโน้มตลาดช่วงสั้นๆ

กลยุทธที่สอง คือภายใต้ความผันผวนที่เกิดขึ้นนั้น ผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนในบริษัทจดทะเบียนที่มีผลการดำเนินงานดีก็ยังมีอยู่ ดังนั้น การเฟ้นหาบริษัทจดทะเบียนที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ผลกำไรเติบโตต่อเนื่อง และมีการจ่ายปันผลในอัตราที่สม่ำเสมอ ก็จะส่งผลให้ผลตอบแทนในการลงทุนกองทุนหุ้นที่ดี เพราะตลาดหุ้นไทยเป็นหนึ่งในตลาดที่มีราคาต่อผลตอบแทน(พีอี)ไม่สูง ขณะที่อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น(ROE)ขยายตัวเพิ่มขึ้น จนเป็นที่สนใจของนักลงทุนต่างประเทศ

"ปัจจัยภายนอกที่กระทบคือเรื่องของสงครามที่คาดกันว่าจะเกิดขึ้นก่อนสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นช่วงที่ผ่านมาอยู่ในกรอบแคบๆ แต่อย่างไรก็ดีเมื่อสงครามเกิดขึ้นจริง หุ้นอาจจะวิ่งไปเป็นร้อยเปอร์เซนต์ก็ได้ ดังนั้นการจัดสรรเงินการลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานไว้ก่อนจึงเป็นโอกาสที่ดีกว่า เพราะถึงอย่างไรตลาดหุ้นไทยยังหุ้นอยู่กับตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะปรับตัวดีขึ้นในปีนี้ หลังจากใช้เวลาปรับตัวอยู่ถึง 3 ปี"

สำหรับบริษัทจดทะเบียนที่น่าจับตามองในปีนี้ คงหนีไม่พ้นปีที่ผ่านมา คือหุ้นในกลุ่มธุรกิจสื่อสารบันเทิง และธุรกิจที่เกี่ยวกับการบริโภคภายในประเทศ ส่วนธุรกิจการเงินโดยเฉพาะในกลุ่มธนาคารเริ่มปรับตัวดีขึ้น เพราะอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นสูงขึ้นมาก จากการอัตราการเติบโตของสินเชื่อ(loan growth)ที่คาดการณ์กันว่าในปีนี้จะเติบโตในอัตรา 3%-5% แต่แบงก์ยังติดปัญหาเรื่องของทุน อย่างไรก็ดีหากหุ้นในกลุ่มธนาคารปรับตัวเพิ่มขึ้นจะส่งผลให้ตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้มีปัจจัยให้เล่นมากขึ้น



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.