|
แอลจีระเบิดศึกตลาดจอภาพและเสียง งัดบลูโอเชี่ยนมาร์เก็ตติ้งสร้างความต่าง
ผู้จัดการรายวัน(24 สิงหาคม 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
“แอลจี” โบกธงรบ ขนสินค้าหมวดภาพและเสียงทะลวงศึกครึ่งปีหลัง งัดกลยุทธ์บลูเอเชี่ยนมาร์เก็ตติ้ง ชู “ไทม์แมทชีนทีวี” พระเอกคนใหม่ ดึงฐานลูกค้าดีวีดีเรคคอเดอร์ พร้อมอัดฉีดเม็ดเงิน 100 ล้านบาท ทำตลาด 3 เดือนสุดท้ายของปี มั่นใจทั้งปีมีรายได้เติบโตขึ้น 30%
นายฉันท์ชาย พันธุฟัก ผู้จัดการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ด้านภาพและเสียง บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ช่วงครึ่งปีหลังบริษัทฯมีแผนที่จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่มากขึ้น และจะเป็นสินค้าในกลุ่มไฮเอนท์ทั้งหมด เนื่องจากพบว่า สินค้าในกลุ่มดังกล่าวไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจแต่อย่างใด แต่ยังเติบโตดี โดยบริษัทฯได้พัฒนาสินค้าขึ้นมาใหม่ ให้เข้ากับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน จึงได้นำกลยุทธ์บลูโอเชี่ยนมาร์เก็ตติ้งมาใช้พัฒนาสินค้าอีกทางหนึ่งด้วย เพื่อให้เกิดประโยชน์การทำงานของสินค้าที่มีมากขึ้น แต่ราคาไม่สูงนัก
ล่าสุดบริษัทฯเตรียมลอนท์สินค้าใหม่ “ไทม์แมทชีนทีวี” จำนวน 3 รุ่น เป็นพลาสม่าทีวี 2 รุ่น ขนาด 50 นิ้ว และ 42 นิ้ว และแอลซีดี 1 รุ่นโขนาด 42 นิ้ว คาดว่าในระยะ 3 เดือน ตั้งแต่ ต.ค.-ธ.ค. 49 จะสามารถจำหน่ายไทม์แมทชีนได้กว่า 40% ของรายได้ในหมวดจอภาพทั้งหมด และช่วยให้กลุ่มพลาสม่าทีวีมีมีมาร์เก็ตแชร์ในตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 30% จากเดิม 25% และแอลซีดีจากเดิมมีมาร์เก็ตแชร์ 4% จะเพิ่มเป็น 15%
“ไทม์แมทชีนทีวี ถือเป็นสินค้าในลักษณะของบลูโอเชี่ยนมาร์เก็ตติ้ง ที่รวมเอาทีวีและดีวีดีเรคคอเดอร์มาไว้ในตัวเดียวกัน โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้นำเอาเทคโนโลยีที่จะช่วยให้สามารถบันทึกรายการอัตโนมัติ ”
นอกจากนี้ในส่วนของแฟลททีวีอีก 2 รุ่น ช่วงครึ่งปีหลังนี้ และจะออกซูเปอร์สลิมแฟลททีวีอีก 1 รุ่นในปลายปี รวมไปถึงกลุ่มพลาสม่าทีวีแอลจี จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่อีก 1 รุ่น ขนาด 60 นิ้ว
ส่วนทางด้านสินค้าในกลุ่มออดิโออย่างดีวีดีนั้น แอลจีเตรียมเปิดตัวสินค้าใหม่จำนวน 3 รุ่น เน้นเทคโนโลยี Divx ในขณะที่ครึ่งปีที่ผ่านมาบริษัทฯมียอดขายดีวีดี 4.6 หมื่นเครื่อง เติบโตขึ้น 27% และในตลาดรวมมีการเติบโตเพียง 10% คิดเป็นจำนวน 1.4 ล้านเครื่อง ทั้งนี้เนื่องมาจากราคาที่ถูกลง ทำให้การเติบโตในด้านมูลค่าไม่สูงมากนัก โดยในขณะนี้มีเอเจ โซเค่น และฟิลิปส์ ครองความเป็นผู้นำร่วมกัน โดยมีมาร์เก็ตแชร์ 9% อันดับสอง คือโซนี่ มีแชร์ 8% และอันดับสามคือ ไพโอเนียร์ และแอลจี มีแชร์ 6% เท่าๆ กัน
ในขณะที่กลุ่มดีวีดีเรคคอเดอร์นั้น บริษัทจะเปิดตัวใหม่อีก 3 รุ่นเช่นเดียวกัน โดยจะเน้นฟังก์ชั่น ซูเปอร์ มัลติ เรคคอดิ้ง ในขณะที่ปีนี้คาดว่าตลาดดีวีดีเรคคอเดอร์จะมีมูลค่าประมาณ 40,000 เครื่อง เติบโตขึ้น 50% แต่ในแง่มูลค่าเติบโตเพียง 19% เนื่องจากราคาที่ลดลงประมาณ 30% ทั้งนี้ไพโอเนียร์ครองอันดับหนึ่งในตลาดด้วยมาร์เก็ตแชร์ 22% รองลงมาคือ ฟิลิปส์ มีแชร์ 21% อันดับสาม คือ ซัมซุง มีแชร์ 15% อันดับสี่ คือ พานาโซนิค มีแชร์ 13% และแอลจีในอันดับที่ 5 มีแชร์เพียง 5 %
สำหรับการลอนท์สินค้าในครั้งนี้ บริษัทได้จัดเตรียมงบประมาณทางการตลาดไว้กว่า 100 ล้านบาท แบ่งเป็นบิโลว์เดอะไลน์กว่า 70% และอะโบพเดอะไลน์ 30% ในขณะที่ 90% ของงบการตลาดทั้งหมดจะใช้สำหรับ “ไทม์แมทชีนทีวี” ตลาดหลักคือกรุงเทพ ส่วนต่างจังหวัดเน้นหัวเมืองใหญ่ เบื้องต้นบริษัทฯจะเน้นช่องทางจำหน่ายผ่านดีลเลอร์ที่มีศักยภาพทางการขายสินค้าระดับไฮเอนด์ จำนวน 50 ราย จากดีลเลอร์ที่มีอยู่กว่า 500 รายทั่วประเทศ พร้อมทั้งช่องทางโมเดิร์นเทรดที่สำคัญ มั่นใจว่าสิ้นปีบริษัทจะมีรายได้ในหมวดภาพและเสียงเติบโตขึ้นอีกอย่างน้อย 30% หรือทั้งปีสามารถจำหน่ายสินค้าได้กว่า 6 แสนยูนิต
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|