ในช่วงสิ้นปีเช่นนี้ นักลงทุนในตลาดไทยส่วนมากรวมทั้งนักวิเคราะห์ และสื่อสารมวลชนเองก็ตาม
จะมีประเด็นหนึ่งที่ต้องให้ความสนใจติดตามข้อมูล นั่นคือการคาดหมายหรือทำนายภาวะตลาดหุ้นในปีหน้า
เพื่อที่จะดูว่าจะลงทุนอย่างไรต่อไป
ปกติการทำนายภาวะตลาดก็มีอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นรายวัน รายสัปดาห์ รวมถึงการคาดหมายภาวะเศรษฐกิจด้วย
และสื่อมวลชนจะรายงานรายละเอียดเช่นนี้ตลอดเวลา แต่ประเด็นที่ควรต้องคำนึงถึงมากกว่า
คือคนที่ฟังเรื่องเหล่านี้ได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์จากคำทำนายและคำแนะนำเหล่านั้น
ในสหรัฐอเมริกา มีคนทำนายภาวะตลาดเยอะมาก เยอะจนกระทั่งไม่มีใครนั่งฟังคนทุกคนทำนายได้หมด
และคำทำนายนั้นมีที่ขัดแย้งกัน มีทั้งผิดและถูกเต็มไปหมดในตลาดสหรัฐฯ คนบรรลุนิติภาวะการลงทุนไปแล้วแต่ประเทศไทยนักลงทุนไทยยังไม่อยู่ในระดับนั้น
ดร.ธวัช อังสุวรังษี กรรมการผู้จัดการบลจ.บัวหลวง ซึ่งบริหารกองทุนเปิดรายใหญ่ที่สุดในประเทศเวลานี้ให้ทัศนะว่า
"หากมีคนเขียนเรื่องทำนายตลาดหุ้น ผมคิดว่าควรจะเขียนหรือพูดเรื่องแนวคิดและความเข้าใจในการลงทุนอย่างถูกต้องมากกว่า
มันเป็นเรื่องที่จะทำนายได้ยากมากกว่าตลาดหรือความสัมพันธ์ของราคาจะเป็นอย่างไร
แต่ว่าสื่อมวลชนอาจจะไม่เข้าใจตรงจุนี้ มันก็เป็นเรื่องที่ว่าไม่ได้เพราะกระทั่งผู้บริหารกองทุนส่วนใหญ่ที่ผมรู้จักก็ยังไม่เข้าใจจุดนี้เช่นกันคนที่เข้าใจอย่างนี้มีน้อย
นับนิ้วได้"
"ผมจะไม่มีการทำนายภาวะตลาดในอนาคต แม้ว่าผมจะทำบ้างโดยส่วนตัว แต่ผมจะไม่มีการแนะนำเพราะว่ามันมีหลุมพรางมาก
และจริงแล้วการทำนายตลาดหุ้นเป็นเรื่องไม่มีประโยชน์" ทั้งนี้เขาเปรียบเทียบว่าการจัดการกองทุนคล้ายกับการขับรถ
มันมีปัจจัยที่จะเข้ามามีผลบกระทบเยอะมาก คนขับรถที่เก่งจะมองไปข้างหน้าไกลกว่าคนอื่น
ไม่จำเป็นต้องตัดสินใจว่าข้าหน้าสั้น ๆ จะมีอะไร คนที่จัดการกองทุนเก่งไม่ต้องทำนายอันนี้เป็น
แต่เขาต้องมีข้อมูลเพียงพอ มีความสามารถในการจำแนกแยกแยะข้อเท็จจริง มีเงินลงทุน
และมีการโต้ตอบเก่งพอ
ทั้งนี้หน้าที่ในอาชีพของผู้บริหารกองทุนไม่ใช่การจับผิดแต่เขาต้องพยายามที่จะดูว่าอะไรคือข้อเท็จจริง
และอะไรที่ไม่ใช่ต้องพยายามแยกแยะออกมาให้ได้
อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีผู้ทำนายตลาดอยู่เป็นจำนวนมากในตลาดหุ้นไทย มีผู้ที่มองว่าตลาดจะผงกหัวกลับขึ้นมาได้ถึงระดับ
1,000 ซึ่งผู้บริหารกองทุนบางท่านก็รู้สึกอยู่เช่นกัน เพราะนักลงทุนต่างชาติในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนเริ่มขายไม่เยอะแล้ว
แต่หากกล่าวโดยรวม ดร.ธวัชมองว่าราคาได้ลงมาเยอะแล้ว "จากประสบการณ์ทั้งหมด
มันต้องมี rebound หรือราคาต้องดีดตัวกลับ แต่ปัญหาคือที่ตรงจุดนี้ หรือตรง
850 หรือ 800 มันก็แล้วแต่แนวทางที่ลงทุน ว่าเป็นสั้นหรือยาว หากถือยาวก็ยังรับมือกับการลงได้
เพราะใช้วิธีซื้อถัวเฉลี่ย ไม่ใช่ซื้อราคาเดียวเพราะว่าข้อมูลก็มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อย
ๆ"
นอกจากว่าการทำนายภาวะตลาดจะเป็นเรื่องที่ยากและไม่ควรทำแล้ว ประเด็นที่นักลงทุนควรสนใจทำความเข้าใจให้ถ่อนแท้เพื่อให้เกิดภาพลวงตาอีกอย่างคือเรื่องการวดัผลการดำเนินงาน
ซึ่งปรากฏว่าการวัดผลไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามในสังคมไทยนั้น เช่น การวัดผลการดำเนินงานของกองทุนรวม
การวัดผลการดำเนินงานของรัฐบาลดร.ธวัชให้ทัศนะว่า "ในสังคมเราขาด perspective
หรือการมองเปรียบเทียบกว้าง ๆ และเราก็ขาด long term view ที่จะมองย้อนไปไกล
ๆ และ anticipate ข้างหน้าไกลหน่อย นี่เป็นวัฒนธรรมที่แย่มากสำหรับการพัฒนาประเทศ
ประเด็นนี้เป็นเชื่อโรคร้ายสำคัญของประเทศไทยในแง่ที่ว่าเราไม่สามารถวัดผลการดำเนินงานได้อย่างเหมาะสม
เหมือนกับผลการดำเนินงานของกองทุน ซึ่งคนที่สามารถควบคุมได้ก็จะวัดเป็นรายไตรมาสไป
แต่ข้อเท็จจริงควรเป็นเช่นไร
ในการเปรียบเทียบการบริหารกองทุนนั้น อาจจะนำเอาอัตราผลตอบแทนในอดีตที่กองทุนทำได้มาเป็นตัวตัดสิน
แต่การเปรียบเทียบเช่นนี้จะมีความน่าเชื่อถือเพียงใดควรพิจารณาระยะเวลาที่ใช้ในการเปรียบเทียบด้วย
ช่วงเวลาในการวัดผลที่สั้นไป เช่น การวัดผลรายไตรมาส หรือรายปี อาจบิดเบือนความสามารถในการบริหารของบางกองทุนได้
ถ้าขยายเวลาที่ใช้วัดผลให้กว้างขึ้นจะได้ผลการวัดที่น่าเชื่อถือเพิ่มขึ้น
เช่น การเปรียบเทียบผลงานระหว่างกองทุน ก. และ กองทุน ข. ซึ่งเป็นกองทุนที่ตั้งพร้อมกัน
นักลงทุนระยะยาว จึงควรให้ความสำคัญกับการวัดผลที่ใช้ช่วงเวลายาว ๆ เพราะข้อมูลจะน่าเชื่อถือถือมากกว่า
ซึ่งช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับวัดกองทุนหุ้นทุน ควรจะประมาณ 3-5 ปี
การวัดผลการดำเนินงานของกองทุนเป็นประเด้นที่มีการโต้เถียงกันมากในช่วงหนึ่งในบรรดากองทุนรวมทั้งหลาย
8 รายในประเทศเวลานี้ อย่างไรก็ดี สิ่งที่นักลงทุนจะพึ่งได้คือการพัฒนาความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลของตนขึ้นมาเป็นอันดับแรก
เพื่อที่จะได้แยกแยะหลุมพรางหรอืภาพลวงตาออกจากข้อเท็จจริงได้เพื่อประโยชน์ของนักลงทุนเอง