กองทุนสำรองเลี้ยงชีพตลาดนี้จะเป็นของแบงก์

โดย สนิทวงศ์ เจริญรัตตะวงศ์
นิตยสารผู้จัดการ( ธันวาคม 2539)



กลับสู่หน้าหลัก

กระทรวงการคลังอนุมัติผู้บริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพรายใหม่เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.39 ผลจากนโยบายเพิ่มเงินออมระยะยาว สถาบันการเงินประเภทต่าง ๆ 17 รายรับอานิสงส์กันไปถ้วนหน้าไฟแนนซ์เจ้าตลาดถึงกับออกปาก "เยอะไม่กลัว แต่กลัวแบงก์" สำหรับรายใหม่ทีมงานที่แข็งแกร่ง และแขนขาที่ว่าแน่ อาจจะแพ้ เพราะไม่มีผลงานมาพิสูจน์ให้มั่นใจ งานนี้คงต้องหวังพึ่งบริษัทในเครือกันไปก่อน เพราะเป็น 'สิบเบี้ยใกล้มือ' ส่วนที่เนื้อหอมสุดเห็นจะไม่พ้นรัฐวิสาหกิจ เพราะต้องเร่งจัดตั้งให้เสร็จก่อนสิ้นปีงบประมาณ' 40 ไฟแนนซ์จะยังอยู่ หรือแบงก์จะเข้าครองคงต้องจับตาดูว่าช่วงฤดูกาลนี้ใครจะได้รัฐวิสาหกิจไปบริหารกันเท่าไรและสิ้นปี'40 ผลการบริหารกองทุนแต่ละรายเป็นอย่างไร

จากประกาศสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2539 อนุญาตให้สถาบันการเงินอีก 17 รายได้เข้ามาทำธุรกิจบริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PROVIDENT FUND) ทำให้ในปัจจุบันมีสถาบันการเงินไทยที่มีใบอนุญาตทำธุรกิจนี้อยู่ทั้งสิ้น 36 ราย

การเปิดโอกาสให้สถาบันการเงินอื่นเขามาทำธุรกิจได้นอกเหนือจากไฟแนนซ์นั้น เป็นผลสืบเนื่องจาก ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่อยู่ในสถานการณ์ค่อนข้างวิกฤตจากผลงานของรัฐบาลหลายชุดที่ผ่านมา

ปัญหาเงินเฟ้อ การขาดดุลบัญชีเดินสะพัด และการส่งออกลดลง สิ่งเหล่านี้ทำให้นักลงทุนต่างชาติไม่กล้าที่จะลงทุนในประเทศ เนื่องจากไม่มั่นใจในเสถียรภาพทางการเงิน และการเมืองของไทย ส่งผลให้สถานการณ์การเงินในประเทศมีความตึงตัว

เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาดังกล่าว ภาครัฐ จึงต้องการเร่งระดมเงินออมในประเทศ เพื่อเพิ่มเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เป็นการบรรเทาภาวะเงินตึงตัวดังกล่าว จึงผลักดันให้เกิดการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพขึ้น

ในปี' 38 ยอดคงค้างของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่มีอยู่ในระบบมีไม่ถึง 1.5% ของรายได้ประชาชาติซึ่งถือว่าน้อยมาก และผู้ที่เข้าร่วมกองทุนมีประมาณ 2% ของแรงงานทั้งหมด การเปิดโอกาสให้รายใหม่เข้ามามากนั้นย่อมเป็นผลดีต่อระบบโดยรวมเนื่องจากเป็นการกระตุ้นทั้งอุตสาหกรรม โดยเฉพาะรายใหม่อย่างแบงก์ หรือประกันที่มีสาขาอยู่ตามจังหวัด ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจนี้ขยายไปยังต่างจังหวัดซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจนี้ขยายไปยังต่างจังหวัดได้เร็วยิ่งขึ้นแต่ในส่วนผู้จัดการกองทุนฯ รายเก่าที่ทำธุรกิจนี้อยู่ก่อนแล้วโดยเฉพาะรายใหญ่นั้นมองเหตุการณ์ครั้งนี้แล้วการปรับตัวต้องเกิดมีขึ้นอย่างแน่นอน แต่จะไปในทิศทางใด รายใหม่ที่เข้ามาจะทำจริงสักกี่ราย จะสู้รายเก่าได้มากน้อยเพียงใด คงต้องอาศัยเวลาและรอดูผลการดำเนินงานเป็นเครื่องพิสูจน์

รายใหม่แบงก์คึกคักสุดเตรียมใช้สาขา-ให้บริการเสริม

รายใหม่ที่ถูกจับตามองมากที่สุดหนีไม่พ้น 3 แบงก์ใหญ่อย่างธ.กรุงเทพ ธ.กสิกรไทย และธ.กรุงไทย โดยเฉพาะ ธ.กรุงเทพนั้น เริ่มเขย่าวงการตั้งแต่ได้ใบอนุญาตมาใหม่หมาด ๆ ประมาณเดือนกรกฎาคม ด้วยข่าวแผนการร่วมมือกับ เอ.ไอ.เอ. ยักษ์ใหญ่แห่งธุรกิจประกันชีวิตที่ได้รับใบอนุญาตในงวดนี้ด้วยเหมือนกัน

ธ.กรุงเทพ ถือว่าเป็นรายใหม่รายแรกที่เริ่มออกตัวลุยธุรกิจนี้ก่อนใครเนื่องจากเตรียมความพร้อมทางด้านต่าง ๆ ไว้ล่วงหน้าอยู่ก่อนแล้ว ทีมงานปัจจุบันมีประมาณ 10 คน นำโดย รัชนีพรรณ ยุกตะเสวี ภายใต้การดูแลโดยตรงจากดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สำหรับนโยบายบริหารจะแบ่งกองทุนเป็น 2 ประเภท คือ กองทุนใหญ่ตั้งแต่ 10 ล้านบาทจนถึง 1,000 ล้านบาท และกองทุนร่วม (POOL FUND) เป็นการรวมหลาย ๆ กองทุนที่มีขนาดเล็กเข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มอำนาจในการต่อรองผลประโยชน์

ทั้งนี้ในการดำเนินงานนั้นดร.พิสิฐ ให้ความเห็นว่า "จะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใดนั้นคงต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ ของธนาคาร รวมทั้งสาขาและฝ่ายสินเชื่อทั้งในเขตนครหลวง และต่างจังหวัดอันถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะนำธนาคารไปสู่การเป็นธนาคารที่ให้บริการได้อย่างครบวงจร"

และดร.พิสิฐยังตอกย้ำท่าทีเดิมที่มุ่งจะทำธุรกิจนี้อย่างชัดเจนอีกว่า "แม้ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะไม่สร้างรายได้ให้กับธนาคารมากนัก แต่ธนาคารก็ยึดหลักทำธุรกิจให้ครบวงจรเพื่อบริการลูกค้าได้อย่างทั่วถึง"

นั่นหมายถึงว่า ธ.กรุงเทพ 'เอาแน่' กับธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และเตรียมจะใช้แขนขนที่มีอยู่ทั่วประเทศให้เป็นรูปธรรมขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายหลักของ ธ.กรุงเทพ ซึ่งดร.พิสิฐย้ำอยู่ในขณะนี้ว่าต้องทำธุรกิจแบบครบวงจร ซึ่งในเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ไฟแนนซ์เจ้าตลาดเดิมกำลังกลัวและเตรียมรับมืออยู่เช่นกัน

ธ.กสิกรไทย นำทีมด้วยวาณิชธนากรมือฉมัง บุณทักษ์ หวังเจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ รายเก่าอย่างภัทรธนกิจ และทิสโก้ถึงกับออกปากในทำนอง ที่ว่า 'ไปที่ไหนเจอที่นั่น' ด้วยชื่นชมถึงการมีทีมงานที่เข้มแข็ง และวิธีการนำเสนอข้อมูลต่อลูกค้าอย่างมืออาชีพ

บุญทักษ์มั่นใจว่าในปี' 39 ธ.กสิกรไทยจะสามารถชิงส่วนแบ่งการตลาด ของธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้ประมาณ 8-10% ของวงเงินบริหารทั้งระบบประมาณ 7 หมื่นล้าน "นอกจากฐานลูกค้าเดิมแล้วลูกค้ากลุ่มเป้าหมายจะเป็นรัฐวิสาหกิจ และบริษัทขนาดใหญ่ที่มีสาขามาก เพราะธนาคารมีจุดเด่นที่มีสาขาทั่วประเทศ ส่วนกลุ่มลูกค้าขนาดเล็กจะใช้วิธี POOL FUND" บุญทักษ์กล่าวถึงเป้าหมายของธนาคาร

ส่วนผลตอบแทนนั้น ทวิช ธนะชานันท์ผู้อำนวยการฝ่ายวาณิชธนกิจกล่าว่า "ดอกเบี้ยผลตอบแทนลูกค้าต่อการเข้าร่วมในกองทุนที่มีธ.กสิกรไทยเป็นผู้จัดการ คืออัตราดอกเบี้ยเงินฝากบวก 1-2%"

ธ.กรุงไทย ที่หลายคนมองว่างานนี้คงได้เปรียบด้วยสายสัมพันธ์ทางธุรกิจจึงธ.กรุงไทย น่าจะได้กองทุนของรัฐวิสาหกิจไปบริหารค่อนข้างมาก ธีรพันธุ์ จิตตาลาน ผู้จัดการ สำนักบริการตลาดทุน ตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ว่า "องค์กรรัฐวิสาหกิจตรงนี้ส่วนแบ่งตลาดประมาณ 7 หมื่นล้าน ที่จัดตั้งแล้ว 26 แห่ง เป็นเงินประมาณ 3 หมื่นล้าน ยังไม่ได้จัดตั้งอีกประมาณ 30-40 แห่ง องค์กรใหญ่ ๆ ตั้งไปเกือบหมดแล้วที่ยังไม่ตั้งก็เช่น องค์การโทรศัพท์ฯ การประปาภูมิภาค การประปานครหลวงที่เหลือส่วนใหญ่เป็นหน่วยงานย่อย ๆ เช่นองค์การทอผ้า องค์การสุรา องค์การสวนสัตว์ การกีฬาแห่งประเทศไทย ซึ่งพนักงานมีประมาณ 100-500 รายเท่านั้น"

แต่ธีรพันธุ์ยังคงยืนยันว่า ด้วยสาขาที่มีอยู่ทั่วประเทศประมาณ 500 สาขา และเตรียมจะเปิดเพิ่มเป็น 700 สาขาให้ครบทุกอำเภอซึ่งถือเป็นจุดแข็งของแบงก์รวมทั้งทีมงานกว่า 55 ชีวิตที่คลุกคลีกับงานนี้มาปีกว่าเชื่อมั่นว่าภายใน 3 ปี ธ.กรุงไทยจะมีกองทุนบริหารเป็นส่วนแบ่งตลาดไม่ต่ำกว่า 15% ด้วยกลยุทธ์ที่เขาย้ำนักย้ำหนาคือการดำรงเงินกองทุนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

ส่วนบริษัทประกันอย่างเอ.ไอ.เอ. โดยวิสิฐ ตันติสุนทร รองประธานอาวุโสและรองประธานภูมิภาคฝ่ายการลงทุน และมีหน้าที่ดูแลพอร์ตการลงทุนของบริษัทอยู่ด้วยนั้น ได้ออกมาประกาศว่าธุรกิจนี้น่าสนใจมากและคาดการณ์ว่า ภายใน 5 ปีเอ.ไอ.เอ. จะมีส่วนแบ่งตลาดในธุรกิจนี้ประมาณ 8-10% ของมูลค่าตลาดรวมที่น่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.2 แสนล้านบาท จากการที่ฐานลูกค้าจำนวน 5 พันบริษัทที่มีอยู่ทั้งบริษัทไทย และบริษัทข้ามชาติ และในส่วนบริษัทเองก็มีหัวหน้าตัวแทนประมาณ 3 พันคนและตัวแทนรายย่อยอีก 3 หมื่นคนบริษัทจึงน่าจะมีรายได้จากธุรกิจนี้เช่นกัน

บ.ไทยประกันชีวิต หนึ่งในประกัน 3 รายที่เริ่มไปบ้างแล้วนั้น นำทีมโดยชลธิชาควรทรงธรรม ภายใต้การดูแลของ วรางค์ เสรฐภักดี ผู้จัดการสายงานและรอมากว่า 2 ปี นโยบาย ในช่วงแรกนี้วรางค์กล่าวว่า "จะมุ่งบริษัทในเครือต่อจากนั้นก็เป็นลูกค้าประกันชีวิตหมู่เพราะมีสมาชิกเป็นพันราย โดยจะเริ่มในกรุงเทพฯ และแถบปริมณฑล แล้วจึงไปต่างจังหวัดที่เรามีสำนักงานสาขาขนาดใหญ่อยู่ 63 แห่ง" ด้วยทีมงานที่มีอยู่ 4-5 คน คาด ว่าปี'40 น่าจะเพิ่มเป็น 7-8 คน และเธอจะใช้ทีมฝ่ายขายช่วยเจาะช่องทางเพื่อเข้าถึงตัวลูกค้าอีกทางหนึ่งด้วย วรางค์หวังว่าอีก 5 ปี น่าจะถึงจุดคุ้มทุนด้วยมูลค่ากองทุนภายใต้การบริหารประมาณ 400-500 ล้านบาท ส่วนระบบคอมพิวเตอร์ได้ที่ปรึกษา ซึ่งเคยร่วมงานที่บล.กองทุนรวมมาช่วยเขียนและประสานระบบตอนนี้สามารถใช้งานได้แล้ว

น่าสังเกตว่าทั้งธนาคารพาณิชย์ และบริษัทประกันที่ได้รับใบอนุญาตใหม่นี้ ต่างมั่นใจในฐานลูกค้าของตนโดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัดซึ่งไฟแนนซ์ทั้งหลายต้องยอมรับว่าตัวเองไปไม่ถึงตลาดส่วนนี้เท่าไรนัก ดังนั้นส่วนแบ่งตลาดที่ตั้งเป้ากันไว้นั้นมีความจริงได้ไม่ยากนักเพราะแขนขาในต่างจังหวัดคงช่วยได้เยอะ

รอบนี้ TRACKRECORD ยังเป็นสิ่งสำคัญ

เมื่อดูรายใหม่แต่ละรายแล้ว น่าจะเป็นที่หนักใจของผู้จัดการกองทุนรายเก่าอยู่มิใช่น้อยเพราะแต่ละรายมีความเป็นมืออาชีพการันตีความสามารถอยู่แล้วทั้งสิ้น

กระนั้นก็ตามรายเก่าเจ้าของส่วนแบ่งการตลาดอันดับหนึ่ง อย่างบงล.ทิสโก้ (TISCO) ก็ไม่ได้ประมาท แม้จะมีความกริ่งเกรงในด้านชื่อเสียงความสามารถของคู่แข่งโดยเฉพาะ 3 แบ่งก์ยักษ์ใหญ่ ด้วยสาขาของแบงก์ที่ระโยงระยางกระจายตัวไปทั่วประเทศ ซึ่งหมายถึง การรุกคืบสู่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้สะดวกสบายและรวดเร็วในพื้นที่ต่างจังหวัด และการมีสาขามากยังทำให้การบริการของแบงก์ย่อมมีประสิทธิภาพไปด้วย

"แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะเสียเปรียบเสียทีเดียว เพราะมองว่าเจ้าเก่าหลายรายก็คงยังอยู่ได้ในตลาด อย่างทิสโก้เราได้เปรียบในแง่ที่เรามีประสบการณ์มีความเชี่ยวชาญในการบริหารมาเป็นเวลานาน เราบริหารมาก่อนที่ พ.ร.บ.ปี'30 จะออกรับรองรวมแล้วประมาณ 15 ปี และอีกประมาณหนึ่งเราผลงานอดีตเป็นสิ่งยืนยันได้ว่าเรามีความเชี่ยวชาญ" ภควิภา เจริญตรา ผู้จัดการฝ่ายและหัวหน้าการจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กล่าวอย่างมั่นใจถึงผลงานในอดีตของทิสโก้

เช่นเดียวกับ กุลนันท์ ซานไทโว ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารกองทุนแห่ง บงล. ภัทรธนกิจ (PHATRA) ที่เห็นด้วยว่าผลงานในอดีตยังเป็นสิ่งสำคัญ

"ยอมรับว่าการแข่งขันค่อนข้างจะรุนแรงในลักษณะบริการเสริมแบงก์ใหญ่สามารถให้ได้ ในรูปของ ATM บัตรเครดิต ซึ่งอาจยกเว้นค่าธรรมเนียมแรกเข้า ซึ่งเป็นสิ่งที่มา SUBSIDIZE ราคา ส่วนค่าจัดการก็เป็นอีกเรื่อง มันเป็นกลยุทธ์ที่แบงก์ใหญ่จะเข้ามาเล่นตรงนี้ แต่รอบนี้เรายังไม่ค่อยกลัว เพราะ TRACK RECORD ยังเป็นเรื่องสำคัญมากในการที่จะเลือกผู้จัดการกองทุน ซึ่งภัทรฯ ก็มี TRACK RECORD ที่ค่อนข้างดี ครึ่งปีที่ผ่านมาอัตราผลตอบแทนของกองทุนเรา 12.4% ในขณะที่ fixed อยู่ประมาณ 10.3%" กุลนันท์กล่าวด้วยความเชื่อมั่นว่าเธอและทีมงานยังสู้ได้ไม่ยากนักในรอบแรก

เหตุผลที่คีย์วูแมน 2 รายใหญ่ยกมานั้น ค่อนข้างจะเป็นสิ่งที่ฟังขึ้นทีเดียวเนื่องจากเงินกองทุนเป็นเงินของลูกจ้าง และนายจ้างที่ลงขันกันคนละครึ่ง ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในการตัดสินใจอะไรลงไปเกี่ยวกับเงินก้อนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดหาผู้จัดการกองทุน

เพราะคำมั่นสัญญาที่แต่ละผู้จัดการให้ไว้เมื่อครั้งมานำเสนอแผนงงานนั้น เอาเข้าจริงแล้วก็ให้หลักประกันความมั่นใจอะไรไม่ได้นัก เพราะในอดีตและปัจจุบันก็รู้กันอยู่ว่า ผู้จัดการกองทุนบางรายบริหารขาดทุนมาแล้วและไม่เฉพาะอัตราผลตอบแทนเท่านั้นที่ไม่เป็นไปตามเป้า แม้กระทั่งเงินกองทุนเองก็ถูกกินส่วนจากการขาดทุนไปด้วย เนื่องจากการลงทุนในหุ้นเป็นปัจจัยสำคัญ ดีหน่อยตรงที่เป็นเพียงการขาดทุนที่ยังไม่รับรู้ (UNREALIZE LOST) แต่เมื่อใดก็ตามที่มีการขายหุ้นที่ถืออยู่ออกมาก็จะปรากฎชัดถึงผลขาดทุนที่เกิดขึ้น

สิ่งเหล่านี้บริษัทต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะกรรมการบริหารกองทุนที่ถูกเลือกเพื่อมาเป็นตัวแทนทั้งลูกจ้างและนายจ้างเล็งเห้นและตระหนังถึงปัจจัยข้อนี้มากยิ่งขึ้น ปัจจุบันจึงได้มีการจัดเกณฑ์การพิจารณาผู้จัดการกองทุนฯ เพื่อเป็นบรรทัดฐานในการเลือกอย่างเป็นกิจลักษณะกว่าในอดีต

"อันนี้ต้องขอบคุณ การไฟฟ้านครหลวงโดย คุณสุรชัยที่เป็นคนให้ข้อมูลกับรัฐวิสาหกิจทั้งหลายว่า การที่จะก่อตั้งกองทุนฯของกฟน.มาได้ขนาดนี้นั้นมีปัญหาอะไรบ้าง รวมทั้งเป็นที่ปรึกษาให้กับรัฐวิสาหกิจ เขาจะมีบรรทัดฐานในการพิจารณา เช่น ค่าธรรมเนียมการบริหารกองทุน, อัตราผลตอบแทน, ผลงานในอดีต, ข้อมูลข่าวสารที่จะสนับสนุนการลงทุน, ความโปร่งใสในการรายงานข้อมูล, นโยบายให้อิสระกับหน่วยงานที่บริหารกองทุน เพราะบางที่อาจมี CONFLICT ในกรณีฝ่ายวาณิชธนกิจจะเอาหุ้นจองมาขายให้" กุลนันท์กล่าวถึงบทบาทของกฟน. ที่มีส่วนช่วยให้กิจกรรมขอกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมีพัฒนาการที่ดีขึ้น

และด้วยผลงานในอดีตนี่เองแม้แต่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังต้องเลือกใช้บริการผู้จัดการกองทุนจากรายเก่าทั้งหมดในการบริหารเงินกองทุนประเดิมขั้นต้นประมาณ 7,000 ล้านบาท จาการคาดการณ์ว่าระหว่างวันที่ 1-8 พ.ย. จะมีพนักงานธปท. เข้าร่วมสมัครเป็นสมาชิกกองทุนไม่ต่ำกว่า 85% ของจำนวนพนักงาน 5,200 คน ซึ่งรวมถึงพนักงานในภาคต่าง ๆ ด้วย

โดยให้บงล.ทิสโก้เป็นแกนนำในการบริหารเงินกองทุน และผู้จัดการกองทุนแต่ละรายซึ่งหมายรวมถึง บงล.ภัทรธนกิจและบงล.ธนสยาม จะได้เงินทุนไปบริหารรายละ 2,500 ล้านบาท แต่หากวงเงินประเดิมเพิ่มขึ้นสูงเป็น 7,500 ล้านบาท บงล.สินเอเชียก็ได้เข้าร่วมบริหารด้วย "ผู้จัดการกองทุนจะเป็นกี่รายขึ้นกับวงเงินประเดิม แต่จะเลือกผู้จัดการกองทุนตามลำดับที่พิจารณาคัดเลือกไว้" เริงชัย มะระกานนท์ ผู้ว่าการธปท.กล่าวถึงกฎเกณฑ์ที่วางไว้

ปรับระบบคอมฯ - เพิ่ม MARKETING - เสริมบริการหวังรักษาส่วนแบ่งตลาด

แม้จะมี TRACK RECORD เป็นเครื่องการันตีความสามารถ แต่ใช่ว่าเจ้าสนามจะภูมิใจอยู่กับความสำเร็จของตนเมื่อครั้งในอดีตเท่านั้น การปรับตัวเพื่อรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นสิ่งที่สำคัญเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดไว้ให้ได้มากที่สุด

"เรายอมรับว่าการแข่งขันที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่ว่าเราจะไม่ปรับตัว เพราะถ้าเรายืนอยู่เฉย ๆ สักวันหนึ่งตลาดนี้ก็คงจะเป็นของแบงก์" ภควิภากล่าวอย่างรู้สถานการณ์ของตัวเอง

เริ่มจากการปรับปรุงระบบคอมพิวเตอร์ เพราะถ้าระบบดีย่อมหมายถึงการบริการที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพทิสโก้ได้ลงทุนเพิ่มเติมในด้าน SOFT WARE เพื่อเพิ่มขีดความสามารในการให้บริการ เนื่องจากทิสโก้มีสมาชิกกองทุนที่ต้องดูแลประมาณ 2 แสนรายจากทั้งอุตสาหกรรมที่มีสมาชิกกองทุนประมาณ 7 แสนรายจึงนับว่าค่อนข้างมากทีเดียว

การพัฒนาระบบ SOFT WARE ของทิสโก้เน้นพัฒนาเพื่อเพิ่มบริการเสริมโดยภควิภายืนยันว่าไม่ได้ซื้อโปรแกรมจากเมืองนอก แต่ใช้หน่วยสนับสนุนทางด้านคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่แล้วคิดค้นพัฒนาขึ้นเอง ทีมงานที่ดูแลระบบของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพโดยเฉพาะมีอยู่ 4-5 คนดึงจากส่วนกลางที่มีอยู่ทั้งหมด 60-70 คน

"เราจะวิเคราะห์ดูว่าบริการใดที่แบงก์ให้แล้วเราให้ได้ อาจจะเป็นรูปแบบอื่นแต่ผลที่สมาชิกได้รับเหมือนกัน อย่างเราไม่มี ATM ก็อาจให้ข้อมูลผ่านระบบ ON LINE ซึ่งเขาก็ดู INDIVIDUAL STATEMENT ได้เหมือนกัน และประหยัดเวลากว่าที่สมาชิกจะต้องไปเสียบบัตร ATM คิดว่าต้นปีหน้าเราคงมีบริการเสริมออกมาอีก 2-3 อย่างนอกจาก ONLINE คือ บริการเสียงเวลาลูกค้าโทรมาถามข้อมูล" ภควิภา กล่าวถึงบริการเสริมของทิสโก้ที่จะมาแข่งกับบริการของแบงก์

ข้างฝ่ายภัทรฯ นั้นลงทุนซื้อระบบ FINANCIAL MODEL จากต่างประเทศกว่า 10 ล้านบาท ตั้งแต่ปี'38 ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นปรับปรุงให้ประสานกับระบบเดิมไปทีละส่วน

"เป็นระบบที่จะทำ STRUCTURE PORTFOLIO INVESTMENT เหมือนกับที่บลจ. บางที่เขาลงทุนกัน ทำให้ผู้จัดการกองทุนคนเดียวดูได้เป็นร้อยกอง" กุลนันท์กล่าวถึงประสิทธิภาพของระบบ

ในด้านทีมงานที่ดูแลด้านกองทุนกุลนันท์แห่งภัทรฯ กล่าวว่ายังคงอัตราไปจนกว่าจะถึงปีหน้าเพราะทีมงานที่มีอยู่ค่อนข้างใหญ่ ผู้จัดการกองทุน 6 คนเมื่อมีระบบ FINANCIAL MODEL เข้ามาก็คงจะช่วยผ่อนงานลงได้แม้ว่าจะมีงานเข้ามากขึ้นและ ยังมี ดีลเลอร์อีก 4 คน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ธุรการทำระบบบัญชี ระบบสมาชิก จ่ายเช็คที่คอยช่วยเป็นส่วนสนับสนุนอีกประมาณ 19 คน เจ้าหน้าที่กฎหมาย 2 คนที่ทำเกี่ยวกับสัญญา การจัดตั้งใหม่และกฎระเบียบใหม่ ๆ ส่วนเจ้าหน้าที่คอมพิวเตอร์ของกองทุนมี 2 คน ที่ต้องค่อย SET UP ระบบของภัทรฯ กับระบบของลูกค้าที่มาใหม่ ในส่วนระบบจ่ายเงิน ระบบโอนเงินสมทบเพื่อให้เชื่อมโยงกับระบบของลูกค้า สำหรับเจ้าหน้าที่การตลาดที่ต้องค่อยติดต่อกับลูกค้าโดยตรงมีทั้งหมด 7 คน รวมทั้งกุลนันท์ และเธอกล่าวว่าอาจจะเพิ่มเป็น 10 คนขึ้นกับปริมาณงานที่จะเข้ามา

เทียบกับทิสโก้มีเจ้าหน้าที่เต็มเวลาทำงานในส่วนการตลาด การลงทุน และบริหารสมาชิกกว่า 30 คน โดยในส่วนของบริหารระบบสมาชิกนี้ทิสโก้ได้แยกออกเป็นฝ่ายต่างหาก "เรา เพราะเรามองว่าเรามีสมาชิกเยอะมากจะได้รองรับได้อย่างเต็มที่" ภควิภาให้เหตุผล นอกจากนี้ ยังมีทีมงานสนับสนุนอีกประมาณ 50 คน และด้านบัญชีอีก 10 คนที่มาจากส่วนกลางเพื่อมาช่วยงานกองทุนฯ โดยเฉพาะ

สำหรับส่วนแบ่งตลาดนั้นปี'39 ภควิภาคาดว่าอย่างไรเสียทิสโก้ก็ยังคงครองความเป็นอันดับหนึ่งด้วยสัดส่วน 30% อยู่ได้ส่นภัทรน นั้นกุลนันท์กล่าวว่าสิ้นปี'39 ภัทรฯจะตีตื่นบงล.ธนสยามขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ได้แน่นอน

หมดสมัยการันตีรีเทิร์น คนประกันเจ็บตัว-สมาชิกแย่

นอกจากผลการบริหารกองทุน และการบริการแล้วจุดขายอีกประการหนึ่ง ในอดีตที่ผู้จัดการกองทุนแต่ละรายงัดออกมาใช้สู้ศึก เพื่อแข่งกันก็คือ การประกันอัตราผลตอบแทน หรือ GUARANTEED RETURN แต่ในปัจจุบันดูเหมือนว่าทุกคนต่างพยายามไม่พูดถึงสิ่งนี้เสียแล้ว

ภควิภาได้ให้ประวัติศาสตร์ของเรื่องนี้ไว้ว่า "ตลาดกองทุนฯ บ้านเราเป็นเรื่องใหม่ถ้าเทียบกับอังกฤษหรืออเมริกาที่ผ่านมา 40-50 ปีแล้ว แต่ประเทศเราเริ่มได้ไม่นานนักสมาชิกยังกระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯค่อนข้างมากยังไม่ต้องพูดถึงคนต่างจังหวัด คนในกรุงเทพเองก็มีอีกเยอะที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิก เพราะฉะนั้นการสร้างความมั่นใจกับลูกค้าจึงต้องใช้เวลานานในการให้ความรู้เขา ถ้าผู้จัดการบอกเขาว่าอย่างน้อยคุณได้เท่านั้นเท่านี้ก็ไม่ต้องอธิบายกันนาน การการันตีจึงเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่ทำให้หาลูกค้าได้ แต่ถ้าในอนาคตโดยเฉพาะขณะนี้เมื่อกระทรวงคลังออกมาบอกว่าจะตั้งกฎให้บริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับทางราชการต้องจัดตั้งกองทุนฯ ถึงตอนนั้นตลาดคงพร้อมขึ้นมองว่าทุกคนน่าจะรับรู้ข่าวสารและเข้าใจได้มากขึ้นด้วยว่า การการันตีน่าจะมีข้อเสียเปรียบมากกว่าข้อได้เปรียบโดยเฉพาะเมื่อหุ้นแย่ ๆ"

แน่นอนขณะที่หุ้นขึ้นผู้จัดการกองทุนแต่ละรายต่างก็ลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทนี้อย่างเต็มพิกัด 25% ทุกคนได้รับผลตอบแทนอย่างเป็นกอบเป็นกำเข้าสไตล์ 'บริหารง่ายกำไรงาม' บางแห่งถึงกับการันตีอัตราผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 1 ปีของธนาคาร 3-4% เลยทีเดียว และบางครั้งผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนในหุ้นนั้นเลยไปจากจุดที่การันตีไว้เสียด้วยซ้ำ ผู้จัดการกองทุนจึงอาจมีรายได้เข้ามาถึงสองทางคือทั้งผลตอบแทนที่ได้เกินจากการการันตีไว้ และอีกส่วนหนึ่งก็เป็นค่าจัดการที่บริหารงานได้ตามเป้าหมาย

แต่ในภาวะที่หุ้นตกช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมานี้ทุกคนเจ็บเพราะไม่เคยมีใครคาดคิดว่าหุ้นจะตกลงมา 40-50% บางคนถึงกับคาดการณ์ว่าน่าจะลงไปถึงระดับดัชนี 850 จุด เพราะเป็นจุดเดียวกันก่อนที่ดัชนีจะพุ่งขึ้นไปทะลุ 1,600-1,700 จุด

ผู้จัดการกองทุนฯ รายที่ไปการันตีผลตอบแทนไว้จึงอยู่ในอาการบาดเจ็บกันโดยถ้วนทั่วเพราะจำเป็นต้อง 'ชักเนื้อ' ตัวเองเพื่อจ่ายผลตอบแทนแก่สมาชิกกองทุนตามที่ตนได้การันตีไว้มากบ้างน้อยบ้าง ไปตามส่วน

แต่ที่เจ็บหนักที่สุดเห็นจะเป็นสมาชิกหลายรายจะอยู่ในอาการ 'ทุนหายกำไรหมด' เพราะผู้จัดการกองทุนที่นำเงินกองทุนส่วนหนึ่งไปลงทุนในหุ้นและเมื่อหุ้นตกแต่ขายออกไม่ทันจนขาดทุนและบางครั้งกินส่วนไปถึงต้นทุนด้วย แม้ผู้จัดการกองทุนจะรับผิดชอบในส่วนอัตราผลตอบแทนที่ได้การันตีไว้ แต่ในส่วนเงินกองทุนนั้นไม่มีระบุไว้ในสัญญาว่าจะต้องจ่ายถ้าทำขาดทุน เพราะ จะว่าไปยังถือว่าเป็นการขาดทุนเสียทีเดียวเลยก็ยังไม่ได้นัก เพราะเป็นส่วนที่ติดอยู่ในหุ้นเป็นการขาดทุนที่ยังไม่รับรู้ (UNREALIZE LOST) แต่เมื่อใดก็ตามที่ขายหุ้นที่ราคาต่ำกว่าตอนซื้อออกมาผลขาดทุนก็จะปรากฎชัดเจนซึ่งสมาชิกต้องรับผลตรงนี้ไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่าจะไม่ขายจนกว่าหุ้นจะขึ้นจนถึงจุดคุ้มทุนหรือได้กำไร ซึ่งก็ไม่แน่ว่าเวลานั้นจะมาถึงเมื่อไร และมีปัญหาเพิ่มขึ้นไปอีกถ้ากองทุนนั้นครบกำหนดการบริหาร เพราะสมาชิกหรือคณะกรรมการกองทุนต้องมานั่งทบทวนว่า จะยินดีให้ผู้บริหารรายเดิมต่ออายุสัญญาหรือไม่ หรือจะเปลี่ยนให้ผู้จัดการกองทุนรายใหม่เข้ามาบริหาร และจะทำอย่างไรกับหุ้นที่ยังติดอยู่

ภควิภาซึ่งยืนยันว่าในอดีตทิสโก้ไม่เคยการันตีผลตอบแทนได้ให้คำตอบอย่างน่าฟังสำหรับกองทุนที่บริหารแล้วขาดทุนว่า "เราคงรับแล้วก็ MARK TO MARKET (ราคาตลาด) คือ รับมา AT COST (ราคาทุน) รับมาทั้งหมดแต่เราขอเริ่มนับผลการดำเนินงานที่ราคาตลาด โดยเราจะไม่ให้เขาขายพอร์ตทิ้ง เพราะถ้าขาย YIELD จะกระทบกับสมาชิก"

ส่วนกุลนันท์แห่งภัทรฯ รายนี้เป็นที่ทราบว่าในอดีตได้ใช้กลยุทธ์การันตีผลตอบเช่นกันแต่ในปัจจุบันเธอบอกว่าเลิกใช้กลยุทธ์นี้ไปแล้วเหมือนกัน และได้ให้ความเห็นในกรณีที่มีบริษัทลูกค้าเข้ามาในอาการ 'ทุนหายกำไรหมด' แบบนี้ว่า "เราต้องรับในแง่ ACCOUNTING ณ ราคาทุนถ้าเรารับในราคาตลาด คนที่ได้รับความเสียหายก็คือสมาชิก เพราะฉะนั้นเราจึงค่อนข้างเป็นห่วงคณะกรรมการและสมาชิกกองทุน ดังนั้นเราจะรับมาที่ COST แต่เราก็ขอร้องว่าการวัด PERFORMANCE ต่อไปเพื่อค่าจัดการแก่เราจะมาวันที่ COST ไม่ได้ เพราะไม่ได้ทำขาดทุนเอาไว้ ก็ขอให้วัดในรูปมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ อันนี้ไม่ใช่เป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับภัทรฯ แต่มันจะ COMPROMISE แก่ทุกฝ่าย"

จะว่าไปแล้วกองทุนที่มีปัญหาเช่นนี้อาจเรียกได้ว่ามีด้วยกันทุกกองทุนที่ลงทุนในหุ้น เพราะสาเหตุจากหุ้นตกเกินความคาดหมาย ในสายตากุลนันท์ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา และเธอมีความเห็นต่อพอร์ตหุ้นเหล่านี้ว่า "หุ้นลงมา 40% พอร์ตที่ลงทุนหุ้นมาตั้งแต่ต้นปี คิดว่าไม่มากก็น้อยต้องมี UNREALIZE LOST ซึ่งไม่เป็นเรื่องที่แปลกถ้าการลงทุนนั้น BASE ON FUNDA MENTAL หุ้นมันลงได้มันก็ขึ้นได้ถ้า FUNDAMENTAL ยัง BACK UP และ 10 ปีที่ผ่านมาผลตอบแทนจากตั๋วสัญญาใช้เงินดอกเบี้ยเงินฝาก ทบต้นไปเรื่อย ๆ เอามาทำเฉลี่ยดู 10% ในขณะที่หุ้น 10 ปีที่ผ่านมาให้ผลตอบแทน 23% ต่างชาติก็บอกว่าหุ้นดีกว่า FIXED INCOME แน่นอนในระยะยาว ซึ่งกองทุนสำรองมันคือระยะยาวที่ซื้อก็ BASE ON FUNDAMENTAL ที่ถือก็เพราะ FUNDAMENTAL มันเปลี่ยนเช่นผู้บริหารเป็นทีมใหม่ที่บริหารไม่ดี จึงคิดว่าในระยะยาวมันต้อง GAIN เพราะฉะนั้นเรื่องขาดทุนจึงไม่แปลก" ปัจจุบันผู้จัดการกองทุนหลายรายจึงมีนโยบายลดพอร์ตการลงทุนในหุ้นลงเหลือประมาณ 5-6% เท่านั้นจากเกณฑ์ที่เปิดให้ถึง 25% แต่บางรายอย่างธีรพันธุ์กล่าวว่า กองทุนที่ธ.กรุงไทยบริหารอยู่นั้นในภาวการณ์อย่างนี้อาจจะไม่ลงทุนในหุ้นเลยในขณะที่บางรายอย่างภัทรฯ ตอนนี้อยู่ที่ 4-7% แต่ถ้าหุ้นบูมมาก ๆ อาจจะถึง 15% ส่วนที่เหลือก็เป็นตั๋ว P/N กับเงินฝากส่วนทิสโก้เฉลี่ยทั้งปีลงทุนในหุ้นประมาณ 10-15% ส่วนหลักทรัพย์ประเภทอื่นก็ลงทุนคล้ายกับผู้จัดการกองทุนด้วยกัน คือตามเกณฑ์กำหนด

ปีนี้ตลาดยังเป็นของไฟแนนซ์ปีหน้าต้องคอยลุ้น

เมื่อไม่มีการันตีผลตอบแทนเป็นตัวดึงความสนใจของลูกค้า ผู้จัดการกองทุนทุกรายึงมุ่งเน้นที่การดำรงเงินกองทุนไว้ก่อนเป็นอันดับแรก และตามด้วยเหตุด้วยผลที่ว่าการฝากเงินกับผู้จัดการกองทุนนั้นย่อมได้อัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า เนื่องจากเมื่อมารวมกับพอร์ตการลงทุนของทุกผู้จัดการกองทุนฯ แต่ละรายได้อัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1 ปีระหว่าง 1-3% ทีเดียว

ด้วยเหตุผลเหล่านี้ รวมทั้งเป็นการลดภาระของบริษัท หรือองค์กรที่จะต้องมาดูแลเงินกองทุนมาก ๆ คาดว่าจะมีบริษัทหรือองค์กรเข้าร่วมตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นจำนวนมาก นั่นหมายถึงเม็ดเงินมหาศาลที่จะเข้ามาในระบบ

สิ้นปี'39 คาดว่ามูลค่าเงินกองทุนที่บริหารอยู่คงถึงทะลุ 7 หมื่นล้านบาท ในอนาคตกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ที่มีข้าราชการประมาณ 1.7 แสนคนซึ่งคาดว่าอาจจะมีผู้เข้าเป็นสมาชิกกองทุนประมาณ 80% ดังนั้นจะมีเงินกองทุนจากส่วนนี้อีกประมาณ 7 หมื่นล้านบาท กองทุน กบข.นี้มีพ.ร.บ.จัดตั้งซึ่งผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร์แล้ว เหลือขั้นตอนประกาศในพระราชกิจจานุเบกษาซึ่งคงเป็นสิ้นปี หรืออาจเป็นต้นปีหน้ารวมทั้งเงินออมจากภาคเอกชนที่ได้รับสัมปทานจากภาครัฐหรือได้รับการส่งเสริมจากบีไอเอ และบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มีมูลค่าตลาดกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 2-3 แสนล้านบาทไม่ยากนัก ซึ่งการแข่งขันในตอนนั้นคงดุเดือนมากกว่านี้

แต่สำหรับปีนี้ตลาดยังเป็นของไฟแนนซ์รายเดิมแน่นอนเพราะอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นส่วนใหญ่เพราะลูกค้ายังเชื่อผลงานในอดีตเป็นสำคัญ เนื่องจากไม่กล้าเอาเงินที่เก็บมาทั้งชีวิตของพนักงานมาเสี่ยงส่วนที่มีการแข่งขันที่ดุเดือดหลังจากใบอนุญาตรายใหม่ออกมาเป็นเพียง 'ฤดูกาลล่ารัฐวิสาหกิจ' เท่านั้น

หลังฤดูกลานี้ผ่านพ้นไปผู้จัดการกองทุนแต่ละรายคงหันกลับไปหาลูกค้าเดิมของตนเองและต่างคนต่างทำงานโดยมีฐานลูกค้าที่ชัดเจนขึ้น ที่แน่ๆ คือบริษัทในเครือและพันธมิตรทางธุรกิจ แต่ปีหน้าเมื่อผลการดำเนินงานของผู้จัดการกองทุนรายใหม่เหล่านี้ปรากฎออกมา ย่อมจะเป็นที่ประจักษ์และสามารถนำไปเป็นเครื่องพิสูจน์ความสามารถมากกว่า 'ราคาคุย' ในวันนี้ได้ เมื่อนั้นไฟแนนซ์เจ้าตลาดคงต้องเหนื่อยกว่าในปีนี้อีกมาก เพราะแค่เปิดตัวในปีนี้รายใหม่ ๆ ก็ประกาศตัวออกมาชัดเจนว่าต้องการส่วนแบ่งการตลาดไม่ต่ำกว่า 10% กันทั้งนั้น ในขณะที่รายเก่าก็ยังยืนยันว่าจะดำรงส่วนแบ่งการตลาดของตนให้ได้มากที่สุด



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.