"เรียลตี้เอ็กเซ็คคิวทีฟ"เมื่อต้องเริ่มต้นใหม่หลังเจอบนเรียนจากแฟรนไชซี


นิตยสารผู้จัดการ( ธันวาคม 2539)



กลับสู่หน้าหลัก

จากความเชื่อมั่นในระบบแฟรนไชส์จากอเมริกาที่ประสบความสำเร็จถึงขั้นที่ว่า 1 ใน 3 เหรียญสหรัฐ ที่ประชาชนอเมริกันใช้จ่าย จะถูกจ่ายเข้าระบบของธุรกิจแฟรนไชส์ และที่สำคัญหากใครคิดจะเริ่มทำธุรกิจ วิธีการที่ง่ายที่สุดคือการซื้อแฟรนไชส์

นี่เป็นหนึ่งในความเชื่อของเทวมิตร ณ สงขลา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เรียลตี้เอ็กเซ็คคิวทีฟ (ประเทศไทย) จำกัด ภายหลังจากที่ใช้ชีวิตในการเป็นนายหน้าค้าที่ดิน และบ้านมือสองอยู่บริษัทในสหรัฐอเมริกาอยู่หลายปี ก่อนจะตัดสินใจนำบริษัทเรียลตี้เอ็กเซ้คคิวทีฟ แฟรนไชส์ธุรกิจรับฝากซื้อ-ขาย-เช่า บ้านมือสองและที่ดินของสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีจุดเด่นด้วยระบบคอมมิชชั่น 100% เข้ามาเปิดขายแฟรนไชส์ในไทยร่วมกับประมณฑ์ คุณะเกษม เมื่อปี 2538

ประสบการณ์จากการขายแฟรนไชส์ที่ผ่านมานับปีของเรียลตี้เอ็กเซ้คคิวทีฟ จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ว่าภายในปีแรกจะหาผู้ร่วมธุรกิจแฟรนไชส์ให้ได้ถึง 40 สาขา หรือ 200 สาขา ใน 5 ปี เพื่อทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซาอยู่แล้วกระเตื้องขึ้น และคิดว่าการมีบริษัทตัวแทนนานหน้าเพิ่มขึ้นอีกรายในประเทศไทยหลังจากที่มี ERA แฟรนไชส์บ้านมือสองรูปแบบเดียวกันที่เปิดดำเนินการอยู่ก่อนแล้ว จะทำให้ตลาดซื้อขายบ้านมือสองคึกคัดขึ้นบ้าง

ปัจจุบันเรียลตี้เอ็กเซ้คคิวทีฟ มีผู้ซื้อแฟรนไชส์รวม 33 สาขา ซึ่งต่ำกว่าเป้าที่วางไว้สำหรับปีแรก และไม่ใช่ว่าทุกสาขาเปิดทำการอย่างราบรื่นตามที่บริษัทแม่ หรือตัวผู้ซื้อแฟรนไชส์เองคาดหวังไว้ ทำให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์หลายรายต้องเลิกไปก่อนเปิดสาขา

จากประสบการณ์ขายแฟรนไชส์ที่ผ่านมานี่เองทำให้เทวมิตร ได้บทเรียนจากการทำธุรกิจแฟรนไชส์ที่ดูเหมือนง่าย แต่ก็กาลายเป็นเรื่องยากได้ เมื่อมาเจอผู้ซื้อแฟรนไชส์บางรายที่ไม่เข้าใจธุรกิจอย่างแท้จริง แต่มาซื้อแฟรนไชส์เพียงเพื่ออยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองสักอย่างหนึ่ง ประสบการณ์ครั้งนี้ยังได้กลายเป็นกรณีศึกษาบทเรียนที่เข้มข้นของเรียลตี้เอ็กเซ็คคิวทีฟ ก่อนจะนำมาเป็นข้อคิดในการพิจารณาผู้ซื้อแฟรนไชส์รายต่อไป

เพราะถ้าผู้ซื้อแฟรนไชส์ไม่สามารถทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้ ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงกับบริษัทแม่อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

และเมื่อผู้ซื้อแฟรนไชส์ไม่สามารถประกอบธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้ ก็ถึงเวลาที่บริษัทแม่ต้องหันมาทบทวนและแก้ไขบทเรียนให้ถูกต้องสำหรับตัวเอง และสาขาเพราะอย่างน้องการแข่งขันในธุรกิจบ้านมือสองก็ไม่ได้มีเพียงเรียลตี้เอ็กเซ็คคคิวทีฟเพียงบริษัทเดียว ที่ให้บริการในรูปของแฟรนไชส์

เทวมิตร ณ สงขลาเริ่มต้นกล่าวถึงกรณีศึกษาบทเรียนจริงก่อนจะประสบความสำเร็จ ในการขายแฟรนไชส์ด้วยปัญหาที่ได้พบ หลังจากได้ผ่านการอบรมแฟรนไชส์รุ่นแล้วรุ่นเล่า

ปัญหาที่ประธานกรรมการบริหารพูดถึง เริ่มตั้งแต่การที่ผู้ซื้อแฟรนไชส์เรียลตี้เอ็กเซ็คคิวทีฟ มีความคาดหวังสู่งเกินไป โดยคิดว่าจะสามารถเป็นเศรษฐีได้ภายใน 6 เดือน หรือ 1 ปี เพราะรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นรายได้ที่ไม่จำกัดและไม่สามารถประมาณการได้เหมือนกับธุรกิจแฟรนไชส์อื่น

"เมื่อผู้ซื้อแฟรนไชส์มีความคาดหวังสูงเกินไปในการทำธุรกิจ เช่น คิดว่าจะได้เป็นเศรษฐีเงินล้านภายในปีเดียวแต่พมาทำจริงไม่สำเร็จอย่างที่คิดไว้ ปัญหาที่ตามมาก็จะทำให้เงินสำรองไม่พอ เพราะแม้แต่ต้นสำหรับอย่างในอเมริกาเองก็มีบริษัทอย่างน้อย 5% ที่ซื้อแฟรนไชส์แล้วล้มเหลวในปีแรก" เทวมิตรกล่าวและเล่าว่า

บางคนมาซื้อแฟรนไชส์โดยไม่รู้ว่าเรียลตี้เอ็กเซ้คคิวทีฟทำธุรกิจอะไร แต่มาซื้อเพราะอยากมีกิจการเป็นของตัวเอง และที่สำคัยถ้าคนในครอบครัวไม่เข้าใจธุริจที่ทำก็จะทำให้มีปัฯหาภายในเกิดขึ้นเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการ เรีรยกว่าครอบครัวไม่สนับสนุนก็ทำลำบาก หรือบางรายคิดจะซื้อแฟรนไชส์ซึ่งมีหัวใจสำคัญอยู่ที่การบริการลูกค้าแต่กลับไม่มีจิตสำนึกของการบริการอยู่เลย ก็เป็นปัญหาเช่นกัน

แม้ว่าก่อนที่ผู้ซื้อแฟรนไชส์จะเปิดทำการ บริษัทจะให้เวลาในการเตรียมตัวประมาณ 90 สัน เพื่อใช้เวลาในการฝึกอบรมและเตรียมสำนักงาน ซึ่งการฝึกอบรมถือเป็นช่วงที่มีความสำคัญมาก เพราะจะสอนให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์เข้าใจถึงระบบและการดำเนินงาน

แต่ปัญหาที่พบแม้บริษัแม่จะพยายามป้อนข้อมูลพร้อมทั้งแจกคู่มือการอบรมให้มากเพียงไร แต่ถ้าผู้ซื้อแฟรนไชส์ไม่ทำความเข้าใจให้ดีที่สุด ก็จะเกิดปัญหาขึ้นอีกจนได้

"นอกจากผู้ซื้อแฟรนไชส์จะคิดว่าตนจะประสบความสำเร็จได้โดยเร็วแล้วบางครั้งยังไม่ยอมทำตามกฎเกณฑ์ เช่นการไม่ทำโฆษณาตามขั้นตอนที่บริษัทแม่กำหนดและโปรโมตได้ เพราะเห็นว่าเป็นรายจ่ายที่มีก่อนเกิดรายได้ทั้งที่การโฆษณาถือเป็นเรื่องที่จำเป็นมากเมื่อเริ่มดำเนินงานใหม่ ๆ"

จากปัญหาต่าง ๆ ที่เจอ นอกจากจะทำให้เรียลตี้เอ็กเซ็คคิวทีฟ หันมามองบทเรียนที่พร่ำอบรมให้กับผู้ซื้อแฟรนไชส์ว่า

"การเริ่มต้นธุรกิจที่ดีควรวางแผนอย่างรอบคอบเพราะอาจจะทำให้เดินผิดทางได้" นั้น มาใช้กับบริษัทแม่ให้เห็นผลเสียก่อนจะดีกว่า

ดังนั้นจากเดิมที่เรียลตี้เอ็กเซ็คคิวทีฟ เร่งขายแฟรนไชส์เพื่อให้เรียลตี้เอ็กเซ็คคิวทีฟ มีจำนวนสาขาตามเป้าที่ตั้งไว้ คงจะต้องชะลอลง และหันมาให้ความสำคัญมากขึ้นกว่าเดิม ตามที่ประธานกรรมการบริหารของบริษัท กล่าวไว้ว่า

"ปัญหาต่าง ๆ ที่เจอสอนให้บริษัทต้องเริ่มสกรีนผู้ซื้อแฟรนไชส์มากขึ้น โดยกำหนดคุณสมบัติขั้นต้นไว้ว่าอย่างน้อยจะต้องมีความรู้พื้นฐานด้านการเงินและบัญชีเบื้องต้น เพราะอย่างน้อยต้องมีการติดต่อทำสัญญากับธนาคารรวมทั้งความรู้พื้นฐานด้านการก่อสร้าง และอสังหาริมทรัพย์เพื่อใช้ประโยชน์ในการประเมินราคา"

นอกจากจะเช็กความรู้พื้นฐานของผู้ซื้อแฟรนไชส์แล้วปัญหที่เคยเกิดขึ้นจะถูกตรรวจสอบในขั้นตอนแรก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเงินทุนหมุนเวียนซึ่งบริษัทจะทำการตรวจเช็กและกำหนดให้ผู้ซื้อจะต้องมีเงินทุนหมุนเวียนอย่างน้อย 1-2 ปี รวมถึงสอบถามความมุ่งหวังในการเข้ามาลงทุนในธุรกิจบ้านมือสองนี้ด้วย และพนักงานหรือผู้ร่วมงานของบริษัทสาขาว่าจะมีเท่าไร

อย่างไรก็ดี เทวมิตร ถือว่าปัญหาและจุดอ่อนที่เรียลตี้เอ็กเซ็คคิวทีฟ ได้พบจากผู้ซื้อแฟรนไชส์นั้น เป็นรเองท้าทายที่ต้องแก้ไขให้ผ่านไปได้ดี ด้วยการให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์ทำงานได้ในกฎเกณฑ์ที่บริษัทแม่กำหนด

พร้อมกันนี้ เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับผู้ซื้อแฟรนไชส์ เรียลตี้เอ็กเซ็คคิวทีฟ ได้เพิ่มทุนบริษัทเป็น 20 ล้าน บาท เมื่อราวเดือนกันยายน 2539 ที่ผ่านมา เพื่อขยายสาขาภายใต้การบริหารงานของบริษัทแม่ และวางแผนขยายธุรกิจ เพื่อแก้ปัญหาในช่วงที่ธุรกิจบ้านมืองสองชะลอตัวนี้ด้วยการขยายสู่ธุรกิจการขายและบริหารโครงการใหม่ในปี 2540 นี้ด้วย

ทั้งนี้ จะเป็นตัวอย่างที่ดีได้แค่ไหน คงต้องรอดูกันต่อไป



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.