บรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรีคนที่ 21 รับหน้าที่บริหารประเทศตั้งแต่วันที่
2 ก.ค. 2538 เวลาผ่านพ้นมาเป็นเพียงเวลาปีเศษเท่านั้น แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าตั้งแต่บรรหารเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น
เขาได้ใช้มือดีทางการเงินมาแล้วถึง 4 คน ในระยะเวลาอันสั้นหลังจากที่ได้รับตำแหน่ง
ที่คนเหล่านั้น ได้ถูกปลด บีบบังคับ และเก็บกดจนต้องลาออกไปเองและบทสรุปที่ทุกคนได้รับนั้นล้วนไม่สวยงาม
เริ่มจากเอกกมล คีรีวัฒน์ ถูกกดดันให้ออกจากตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์
และตลาดหลักทรัพย์หรือ ก.ล.ต. และถูกปลดกลางอากาศจากตำแหน่งรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยโดย
ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในสมัยบรรหาร 1 และขณะนี้ยังมีคดีความค้างคาอยู่ในศาล
รายที่สอง ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่ถูกบีบให้ออกจากตำแหน่งด้วยเหตุผลว่าผลงานไม่เป็นที่พอใจของพรรคร่วมรัฐบาล
ทั้ง ๆ ที่ติดราชการอยู่ต่างประเทศ กลับมาเปิดแถลงข่าวการลาออกด้วยเสียงอันสั่นเครือ
น้ำตาแทบนองหน้า แถมขณะนี้ไปเป็นกลุ่มที่ปรึกษาให้กับหัวหน้าพรรคชาติพัฒนา
พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ
รายต่อมาคือ วิจิตร สุพินิจ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ลาออกไปเพราะถูกกดดัน
และไปร่วมเป็นทีมที่ปรึกษาให้กับพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เช่นเดียวกับ ดร.สุรเกียรติ์
รายล่าสุด บดี จุณณานนท์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงบประมาณและมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนที่
2 ของรัฐบาลบรรหารประกาศลาออกแบบปุ๊บปั๊บ สร้างความประหลาดใจให้อย่างมาก
เพราะว่าเหลือเวลาเป็นรัฐมนตรีรักษาการอีกแค่เพียง 1 เดือน ก็จะพ้นวาระหลังการเลือกตั้งในวันที่
17 พ.ย.นี้ ช่วงเวลาสั้น ๆ ที่เหลืออยู่ถือว่าน่าจะเป็นโอกาสที่ดี
ที่บดีจะได้แสดงความรู้ความสามารถที่จะฝากผลงานไว้ให้เป็นที่ประจักษ์
แต่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นอย่างนั้น การชิงลาออกของบดีจุณณานนท์ ไม่ได้ให้เหตุผลที่ชัดเจนไว้
บอกแต่เพียงว่าเป็นเหตุผลส่วนตัว แต่เท่าที่พอจะสามารถสรุปกันได้นั้นประเมินกันว่าแม้ว่าจะมีแนวทางการดำเนินงานเป็นของตนเองได้
แต่ก็ไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากว่าความจริงแล้วความคิดเห็นของบดี ยังมีหลายเรื่องที่ตรงกันข้ามกับนายกรัฐมนตรีบรรหารโดยสิ้นเชิง
เรื่องแรกคือถูกกดดังเรื่องการจัดตั้งแบงก์ใหม่ ซึ่งบดีจุณณานนท์ ไม่ยอมเซ็นชื่อ
ด้วยเหตุผลว่าเพื่อมารยาททางการเมือง ควรที่จะให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งหลังวันที่
17 พ.ย. เป็นคนมาทำแทน
เรื่องต่อมาคือ การตัดงบจัดซื้ออาวุธของทหารจำนวน 16,000 ล้านบาท เพราะกรมสรรพากรเก็บภาษีไม่ได้ตามเป้าที่วางไว้
อีกทั้งยังลดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดไปด้วย แต่นายกรัฐมนตรีไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอดังกล่าว
เรื่องที่สามคือการเข้าไปโอบอุ้มโครงการดอนเมืองโทลเวย์ ซึ่งกระทรวงการคลังถูกบีบบังคับให้หาเงินเป็นจำนวน
5,000 ล้านบาทเพื่อเข้าไปช่วยเหลือโครงการดังกล่าว ซึ่งบดีไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้มาตลอด
เนื่องจากไม่มีเหตุผลดีเพียงพอที่กระทรวงการคลังจะต้องเข้าไปอุ้มโครงการของภาคเอกชนเช่นนั้น
เรื่องที่สี่ คือการนำเงินคงคลังมาชำระหนี้ต่างประเทศโดยให้นำเงิน 12,000
ล้านบาท ไปซื้อเงินตราต่างประเทศ เพื่อเก็บไว้ชำระหนี้ ซึ่งการนำเงินคงคลังไปใช้
จะส่งผลเสียต่อฐานะของประเทศในระยะยาวและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน
เรื่องสุดท้ายที่มีการประเมินกันไว้คือ การแก้ไขปัญหาตลาดหุ้นที่ตกต่ำ
แนวทางที่บดี ต้องทำคือการลดสัดส่วนการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติลง เพื่อลดอิทธิพลครอบงำตลาดหุ้นไทยของชาวต่างชาติ
เนื่องจากอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเห็นว่าการลงทุนของต่างชาติถือว่าเป็นปัจจัยภายนอกประเทศ
ทำให้ควบคุมได้ยาก จึงสมควรที่จะลดสัดส่วนลงให้เหลือน้อยที่สุด แต่ก็ถูกหลายฝ่ายคัดค้าน
เพราะเห็นว่านโยบายดังกล่าวไปขัดกับนโยบายการเปิดเสรีทางการเงิน
ด้วยเหตุผลที่เกิดขึ้น ผู้คร่ำหวอดในวงการเงินหลายท่านเห็นว่า ความจริงแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอยู่เหมือนกัน
"เพราะถ้าพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบแล้วจะเห็นว่าคุณบดีไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก
การตัดสินใจทุกอย่างยังขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียวท่านั้น ดูไปก็เหมือนร่างทรงคุณบรรหาร
คงกดดันลาออกเสียดีกว่า" นักวิเคราะห์ทางการเงินรายหนึ่งกล่าวกับ "ผู้จัดการรายเดือน"
"นักการเงินทั้ง 4 คนที่กล่าวมาข้างต้นล้วนมีชะตากรรมที่ไม่แตกต่างกัน
คือจากไปด้วยความเจ็บปวด พร้อม ๆ กับที่เศรษฐกิจของประเทศไทยก็ถูกย่ำยีจนเสียหายไปไม่น้อยทีเดียว
ตอนนี้คงได้แต่ฝากความหวังไว้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลังคนใหม่จะมาช่วยเยียวยาได้หรือไม่"
นักวิเคราะห์คนเดิมกล่าว
จะเห็นได้ว่าวิบากกรรมของมือการเงินและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังทั้ง
4 หาใช่ตำแหน่งที่หอมหวนและอยู่กันได้ง่าย ๆ จำเป็นต้องใช้ความสามารถทางเงินและการคลังยิ่งในยุคที่ภาวะวิกฤติในเรื่องอัตราเงินเฟ้อ
การขาดดุลบัญชีเดินสะพัด อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่มีปัญหา ล้วนต้องอาศัยมืออาชีพทั้งสิ้น
หากนักการเมืองอาชีพอย่างบรรหาร ศิลปอาชา หรือว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่จะมาเถลิงอำนาจต่อ
ๆ ไปยังคงดำเนินการเชือดอาสาสมัครเหล่านี้ ต่อไปคงไม่มีมืออาชีพหรือคนดี
ๆ เข้ามาอาสาทำงานในตำแหน่งสำคัญ ๆ ทางการเงินอีกต่อไป
แม้จะมีระบบการคัดเลือกแต่งตั้งการดำรงตำแหน่งกันอย่างเป็นกิจจะลักษณะ
แต่บทจะล้มกันง่าย ๆ ก็ทำได้ราวกับไม่มีระบบอยู่