เมเจอร์ฯผุดคอมมูนิตี้มอลล์รัชโยธินคาดก.ย.ออนไลน์ครบซุ่มผุดหนัง 4 มิติ


ผู้จัดการรายวัน(16 สิงหาคม 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

เมเจอร์ฯ เตรียมผุดคอมมูนิตี้มอลล์ที่รัชโยธิน หลังทุ่มซื้อที่ดินผืนติดกันกว่า 12 ไร่เรียบร้อย พร้อมดึงสยามฟิวเจอร์ฯ เข้าพัฒนาร่วมกัน เผยผลประกอบการไตรมาสที่สอง กำไรพุ่ง 108% ส่วนครึ่งปีแรกกำไรกว่า 389 ล้านบาท โกยรายได้แล้ว 2,505 ล้านบาท ด้านแผนพัฒนาช่องทางขายตั๋วออนไลน์สมบูรณ์แบบคาดเดือนหน้าเต็ม 100% แน่นอน หลังเลื่อนมาจากเมษายน

นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีแผนที่จะพัฒนาพื้นที่ข้างๆ เมเจอร์สาขารัชโยธิน ให้เป็นคอมมูนิตี้มอลล์ขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นที่ดินที่เพิ่งซื้อมาจากเจ้าของที่ดินเดิมประมาณ 12 ไร่ มูลค่ากว่า 800-1,000 ล้านบาท และจะพัฒนาให้เชื่อมต่อกับโรงหนังเมเจอร์รัชโยธิน เพื่อสร้างศักยภาพให้กับโครงการนี้มากยิ่งขึ้น จากเดิมที่สาขารัชโยธินนี้มีพื้นที่ประมาณ 6 ไร่กว่าเท่านั้นอง

ทั้งนี้โครงการนี้คาดว่าจะลงทุนร่วมกับทางบริษัท สยามฟิวเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งบริษัทเมเจอร์ฯ ถือหุ้นอยู่ประมาณ 21% แต่ยังไม่ได้ศึกษาในรายละเอียด ซึ่งเบื้องต้นนี้จะเป็นโครงการที่มีความเป็นมอลล์ใหญ่กว่าที่เคยทำมา เช่นที่ เจอเวนิว จะเป็นธุรกิจค้าปลีกที่เปิดดกว้าง อาจจะมีห้องสมุด หรือซูเปอร์มาร์เก็ตให้บริการ ประกอบกับธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง พร้อมทั้งสร้างที่จอดรถด้วย

กำไรไตรมาสสองพุ่ง108%

นายวิชากล่าวถึงผลประกอบการของบริษัทฯ ในไตรมาสที่สองปีนี้ว่า มีรายได้รวมทั้งสิ้น 1,386 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 243 ล้านบาท (กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.31บาท) เพิ่มขึ้น 108% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนผลการดำเนินงานรวมของครึ่งปีแรกปีนี้ มีรายได้รวม 2,505 ล้านบาท กำไรสุทธิ 389 ล้านบาท (กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.52 บาท) และมีส่วนแบ่งทางการตลาดโรงหนังประมาณ 75% โดยสัดส่วนรายได้มาจากการขายตั๋วเป็นหลัก 56% โฆษณา 12% โบว์ลิ่ง 10% จัดจำหน่ายหนัง 9% พื้นที่ให้เช่า 8% ที่เหลือเป็นอื่นๆ

การเติบโตของไตรมาสที่สองเป็นเพราะว่าได้ขยายสาขาใหม่ 3 สาขา รวม 23 โรง โบว์ลิ่ง 54 เลน คือเมเจอร์ 2 สาขาที่หัวหิน สมุย และพารากอนซีนีเพล็กซ์ ทำให้ปัจจุบันทั้งกลุ่มมี 3 แบรนด์ จำนวน 33 สาขา รวม 281 โรง และโบว์ลิ่ง 414 เลน ซึ่งเฉพาะไตรมาสที่สองบริษัทฯโตมากกว่า 35%

ส่วนครึ่งปีหลังมีแผนที่จะเปิดสาขาใหม่ภายใต้แบรนด์ เอสพานาร์ด ที่ถนนรัชดาภิเษก และเมเจอร์ฯ ที่พิษณุโลก และแจ้งวัฒนะ ส่งผลให้สิ้นปีนี้เมเจอร์กรุ้ปจะมีสาขาทั้งสิ้น 36 สาขา รวม 4 แบรนด์ ทั้งหมด 303 โรง โบว์ลิ่ง 22 สาขา จำนวน 462 เลน ซึ่งปีนี้คาดว่าอุตสาหกรรมโดยรวมจะมีการเติบโตไม่ต่ำกว่า 15-20% โดยอัตราการเข้าใช้บริการในโรงหนังเมเจอร์ทั้งกลุ่มของลูกค้ามีประมาณ 21-50%

“ผมมองว่า ครึ่งปีหลังรวมทั้งปีหน้าธุรกิจยังเติบโตดีในภาพรวม ดีกว่าช่วงไตรมาสแรกที่โดนกระทบจากปัญหาการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดหนังไทยยังแข็งแกร่ง ซึ่งหนังใหญ่ท้ายปีคือ พระนเรศวร ปีหน้าก็ยังมีหนังฮอลลีวู้ดฟอร์มใหญ่หลายเรื่อง เช่น สไปเดอร์แมน แฮร์รี่พอตเตอร์ เป็นต้น”

สำหรับแผนลงทุนในปีหน้า จะมีการใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่า 800-1,000 ล้านบาท เพื่อเปิดสาขาใหม่อีกประมาณ 4 สาขา เช่นที่พัทยาและอีกหลายจังหวัด รวมทั้งจะมีการรีโนเวทและเพิ่มจำนวนโรงในสาขาเดิมด้วย เช่น ที่อีจีวีอิมพีเรียลสำโรง เป็นต้น เพิ่มจาก 4 โรงเป็น 12 โรง

ออนไลน์สมบูรณ์แบบเดือนหน้า

นายกฤษณัน งามผาติพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า แผนการนำระบบออนไลน์มาใช้หรือที่เรียกว่า มูฟวี่ออนไลน์ อย่างเต็มรูปแบบนั้น ด้วยการเปิดตัว New Era of Service กับ เมเจอร์เอ็มแคช โดยจะมีการพัฒนาระบบช่องทางการจำหน่ายบัตรชมภาพยนตร์ใหม่ๆให้สะดวกรวดเร็วมากขึ้น เช่นการซื้อตั๋วหนังออนไลน์ผ่านช่องทางพิเศษนี้ ระบบมูฟวี่ไลน์ โทร 02-515-5555 ผ่านอินเทอร์เน็ต สามารถพริ้นตั๋วที่บ้านได้ ผ่านตู้อัตโนมัติคีออส คาดว่าภายในสิ้นเดือนนี้ระบบทุกอย่างจะสมบูรณ์แบบและเริ่มเปิดใช้ได้ในเดือนหน้าอย่างจริงจัง ซึ่งอาจจะล่าช้าจากเดิมไปบ้างที่ตั้งใจว่าจะใช้เมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา เนื่องจากว่าระบบงานมีความซับซ้อนมาก

โดยช่วงที่ผ่านมาได้เริ่มทดลองใช้ระบบมูฟวี่ออนไลน์กับ 5 สาขาหลัก ผลตอบรับค่อนข้างดี โดยมีสัดส่วนการใช้มูฟวี่ออนไลน์ของลูกค้าในการซื้อตั๋วหนังประมาณ 2% จากรายได้รวม

อย่างไรก็ตามเป้าหมายใหญ่ของเมเจอร์ฯ คือต้องการที่จะให้ลูกค้าใช้บริการผ่านระบบดังกล่าวนี้มากที่สุด ซึ่งจะเป็นการเพิ่มยอดขายไปในตัวด้วย โดยเป้าหมายหลักของเมเจอร์ฯ คือการดึงผู้ที่เล่นอินเทอร์เน็ตในไทยกว่า 12 ล้านคน หันมาใช้บริการนี้

“เราจะมีลูกเล่นใหม่ๆ นอกจากระบบขายตั๋วแล้วยังมีบริการอื่นเช่น หนังสี่มิติ ที่คาดว่าจะเริ่มที่บางสาขาคือที่ สยามดิสคัฟเวอร์รี่เซ็นเตอร์ และที่ซีคอนสแควร์"

นายวิชากล่าวเสริมว่า ในประเทศไทยถือว่าการใช้บริการด้านอินเทอร์เน็ตนี้ยังน้อยมาก เมื่อเทียบกับต่างประเทศเช่น เกาหลีใช้บริการซื้อตั๋วผ่านมือถือมากกว่า 25% หรือในอเมริกาใช้บริการผ่านอินเทอร์เน็ตมากกว่า 40%

ทุกวันนี้เมเจอร์ฯ มีลูกค้ามากกว่า 4 แสนคนต่อสัปดาห์ ที่พร้อมจะสามารถต่อยอดการบริการต่างๆ ให้กับทั้งเมเจอร์ฯ เองและพันธมิตรที่จะเข้ามาใช้บริการ บีโลว์เดอะไลน์ที่สาขาของเมเจอร์ฯ กรุ้ปแต่ละแห่ง และเราสามารถที่จะเชื่อมโยงกับข้อมูลของระบบที่เรานำมาใช้เพื่อนำมาเป็นข้อมูลในการทำซีอาร์เอ็มได้ด้วย


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.