|
'หมอบุญ' ทุ่ม 4 พันล.ผุดคอมเพล็กซ์
ผู้จัดการรายวัน(16 สิงหาคม 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
เปิดแผนการสร้างอาณาจักรของ "หมอบุญ วนาสิน" เจ้าของธุรกิจแบรนด์รพ.ปิยะเวท งัดที่ดินกว่า 70 ไร่ ติดรพ.ปิยะเวทพระราม 9 ผุดบิ๊กโปรเจกต์มูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท ทั้งโรงแรมระดับ 3-5 ดาว คอนโดมิเนียม 3 ตึก ศูนย์การค้า 2 ชั้น และศูนย์วินิจฉัยโรคครบวงจร เตรียมเปิดโฉมหน้าตึกศูนย์เอ็กซ์เรย์พ่วงสปาใหญ่ที่สุดในเอเชีย มูลค่าลงทุนกว่า 500 ล้านบาท ดันบริษัทราชธานีกรุ๊ปรุกลงทุนโครงการอสังหาฯ ทั้งที่ดินในกทม.-จังหวัดท่องเที่ยว ระบุที่ดินโซนสุวรรณภูมิไม่รีบร้อนพัฒนา เชื่ออีก 15 ปี ความเจริญจึงเกิดขึ้น พร้อมป้อนที่ดินพัฒนาโครงการบ้านเอื้ออาทรกว่า 12,000 ยูนิต
นายแพทย์ บุญ วนาสิน เจ้าของธุรกิจโรงพยาบาลปิยะเวท โรงพยาบาลธนบุรี และบริษัทราชธานีบ้านและที่ดิน จำกัด เปิดเผยกับ "ผู้จัดการรายวัน" ว่า การดำเนินธุรกิจของตนจะมีความหลากหลาย แยกเป็นส่วนของธุรกิจในต่างประเทศและธุรกิจในไทย ซึ่งหากพิจารณาทางด้านโครงสร้างรายได้แล้ว จะมาจากต่างประเทศสูงถึง 60% และในธุรกิจในไทยประมาณ 30-40% เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา ตนได้เข้าไปขยายการลงทุนในต่างประเทศจำนวนมาก แต่ขณะที่ฐานธุรกิจในไทย ตนก็ให้ความสำคัญเช่นเดียวกัน โดยธุรกิจหลักมีทั้ง ธุรกิจโรงพยาบาลและบริการ คือ โรงพยาบาลปิยะเวท ที่เน้นลูกค้าระดับนานาชาติ และโรงพยาบาลธนบุรีเน้นลูกค้าคนไทย รวมถึงบริษัท ทันตสยาม จำกัด ที่ขายเครื่องมือทำฟันที่ปัจจุบันครองส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 70%
โดยขณะนี้บริษัทได้จัดทำแผนระยะ 3 ปี ในการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ด้านหลังโรงพยาบาลปิยะเวท พระราม 9 บนเนื้อที่กว่า 70 ไร่ ในรูปแบบคอมเพล็กซ์ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 4,000 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการโรงแรมระดับ 3-5 ดาว ไว้ให้บริการแก่ลูกค้าหรือญาติของผู้ป่วย โครงการคอนโดมิเนียม จำนวน 3 ตึกๆ ละ 200 ยูนิต โครงการศูนย์การค้าสูง 2 ชั้น รวมถึงจะมีศูนย์วินิจฉัยโรคที่ครบวงจร
"จริงๆ แล้วที่ตัดสินใจซื้อโรงพยาบาลปิยะเวท เพราะด้วยศักยภาพของธุรกิจโรงพยาบาลแล้ว เทกโอเวอร์มาในราคา 600 ล้านบาท และลงทุนเพิ่มไปอีก 600 ล้านบาท ขณะที่กิจการดังกล่าวมีที่ดินเยอะและกว้าง โดยช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ราคาที่ดินตารางวาเพียง 4 แสนบาท แต่ตอนนี้ขยับขึ้นไปมาก ประกอบกับอยู่ในรัศมีโครงการแอร์พอร์ตลิงค์ด้วย จึงทำให้ทำเลดังกล่าวมีค่าขึ้น ทั้งนี้ที่ดินของตนอยู่ติดกับที่ดินของนายชาลี โสภณพนิช ผู้บริหารบริษัท ซิตี้ เรียลตี้" นายแพทย์บุญกล่าว
นอกจากนี้ ตนได้มีการลงทุนไปก่อนหน้านี้จำนวน 500 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างอาคารศูนย์เอ็กซ์เรย์ที่ร่วมกับต่างประเทศที่ใกล้แล้วเสร็จ มีพื้นที่ให้บริการกว่า 20,000 ตารางเมตร รวมถึงยังมีศูนย์สปาสุขภาพที่ครบวงจรและใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียมีบริการเสนอแก่ลูกค้าอย่างน้อย 50 รายการ ซึ่งเหตุผลที่ธุรกิจสปามีแนวโน้มเติบโต โดยเฉพาะในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ เพราะประชากรในเมืองค่อนข้างเครียด และต้องการบริการที่ช่วยบำบัดหรือผ่อนคลายจากการที่คร่ำเครียดกับชีวิตประจำวันได้
"การจะส่งเสริมให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางทางด้านสุขภาพนั้น รัฐบาลก็มีส่วนสำคัญที่จะผลักดัน แต่ด้วยที่มีหน่วยงานมากเกินไป และความไม่มีเสถียรภาพทางรัฐบาล ทำให้หากรอก็คงไม่ทัน เนื่องจากของไทยยังมีความได้เปรียบเรื่องค่าบริการ มีต้นทุนที่ต่ำกว่า 3-4 เท่าหากเทียบยุโรป และในสหรัฐอเมริกาที่การดูแลสุขภาพมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 30-40% เรื่องของคุณภาพของหมอของไทยไม่ล่าหลังเหมือนสาขาอื่น ความมีอัธยาศัยที่ดี กลายเป็นจุดดึงดูด นอกจากนี้เริ่มมีความเคลื่อนไหวจากประเทศอาหรับ ที่ย้ายเงินลงทุนสู่ภูมิภาคเอเชียมากขึ้น มูลค่ากว่าแสนล้านบาท และหากสามารถดึงเงินลงทุนส่วนนี้ได้ซัก 10% จะเป็นผลดีต่อตลาดโดยรวม"
ดันราชธานีฯบุกอสังหาฯ
สำหรับความคืบหน้าการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นายแพทย์บุญกล่าวว่า ทางบริษัทฯ ได้มีการนำที่ดินสะสมที่มีอยู่ทั่วประเทศมาเพิ่มมูลค่า ซึ่งมีหลายโครงการที่มีการลงทุน ได้แก่ โครงการจัดสรรที่ภูเก็ตจำนวน 4-5 โครงการ มูลค่าประมาณ 1,200 ล้านบาท โครงการในเกาะสมุยชื่อโครงการรีสอร์ต "เดอะพีค" ที่มีทั้งโรงแรม บ้านจัดสรร มูลค่าการลงทุนประมาณ 20,000 ล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการพัฒนาและขายไปแล้ว 300 ไร่จากประมาณ 700 ไร่ แต่ขณะนี้ทางบริษัทได้ชะลอการพัฒนาโครงการ เนื่องจากต้องการให้ข้อพิพาทเรื่องที่ดินจบลงก่อน
"ที่ดินตามแหล่งท่องเที่ยวยังมี แต่ขณะนี้ต้องค่อยๆ พัฒนา และหากจะลงทุนในที่ดินใหม่จะต้องเป็นเมืองที่เป็นการท่องเที่ยว ซึ่งจะมีส่วนช่วยในเรื่องของรายได้และการขายที่คล่องกว่า"
นายแพทย์บุญกล่าวว่า ในส่วนของที่ดินในกรุงเทพฯ นั้น ทางบริษัทยังมีที่ดินสำหรับการพัฒนาอยู่หลายแปลง เช่น ที่ดินตรงพระราม 9 อีก 30 ไร่, ที่ดินบริเวณอสมท, ที่ดินโซนพุทธมณฑลและโซนสุวรรณภูมิอีกจำนวนหนึ่ง อย่างไรก็ดี ที่ดินในโซนสุวรรณภูมิ ทางบริษัทฯยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะเร่งรีบพัฒนา เนื่องจากในมุมมองแล้วตนไม่เชื่อว่าภายใน 5 ปีบริเวณดังกล่าวจะมีความเจริญ แต่คิดว่าอย่างน้อยต้อง 15 ปีความเจริญจะเกิดขึ้น และเท่าที่พบความต้องการในการซื้อที่อยู่อาศัยยังไม่เยอะแต่สินค้า (ซัปพลาย) ยังล้นอยู่
ป้อนที่ดินกว่าพันไร่สร้างบ้านเอื้อฯ
นอกจากนี้ ในส่วนของโครงการบ้านเอื้ออาทร ทางบริษัทราชธานีฯ ได้รับงานดังกล่าวจากการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ในจำนวน 12,000 ยูนิต ส่วนใหญ่จะเป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น รองลงมาเป็นอาคารชุด โดยจะมีการใช้ที่ดินสำหรับการก่อสร้างโครงการบ้านเอื้ออาทรประมาณ 1,158 ไร่ ซึ่งที่ตั้งโครงการจะอยู่ในต่างจังหวัด เช่น ในจังหวัดระยอง เนื้อที่ 120 ไร่ จำนวน 1,620 ยูนิต เป็นต้น ทั้งนี้การเข้ารับงานดังกล่าว ทางบริษัทจะมีการซับคอนแทรกต์โครงการบ้านเอื้ออาทรให้กับพันธมิตร เช่น บริษัท อิตาเลียนไทยฯ บริษัท คริสเตียนีและนีลเส็น (ไทย) จำกัด (มหาชน) และรวมถึงบริษัทรับเหมารายย่อย ทำให้เชื่อมั่นว่าภายในระยะ 2 ปีข้างหน้าการก่อสร้างโครงการบ้านเอื้ออาทรในจำนวนดังกล่าวจะแล้วเสร็จ
"ที่เชื่อว่าจะเสร็จได้ครบ เพราะบริษัทก่อสร้างมีคุณภาพและทางบริษัทก็อาจจะให้ค่าก่อสร้างที่สูงขึ้นบ้าง ส่วนบริษัทก็ยังมีกำไรบ้าง ทุกอย่างก็ลงตัว"
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|