|
ก.ล.ต.ไล่บี้ IEC เข้าถือบลิสเทล 40%
ผู้จัดการรายวัน(11 สิงหาคม 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
ก.ล.ต.ตามบี้บิ๊กไออีซี หลังปรากฎข่าวเล็งซื้อหุ้น BLISS เพิ่มหวังถือ 40% ด้านบริษัทครวญหน่วยงานที่ดูแลมีอคติในการทำงาน เผยเหตุเร่งให้ชี้แจงข่าวหวังสั่งให้ทำเทรนเดอร์ออฟเฟอร์ในทันที ขณะที่โบรกฯเชื่อข่าวลือที่เกิดขึ้นจริง ระบุผู้ถือหุ้นใหญ่ควรถือเกิน 35% หากต้องการรักษาอำนาจ
นายสุมิท แช่มประสิทธิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) หรือ IEC แจ้งตลาดหลักทรัพย์ว่าสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ได้มีหนังสือแจ้งมายังบริษัทเพื่อขอให้ชี้แจงข้อมูลตามที่ปรากฏเป็นข่าวเมื่อวันที่ 3-4 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งระบุว่าบริษัทมีแผนที่จะเข้าไปซื้อหุ้นของบริษัท บลิส-เทล จำกัด (มหาชน) หรือ BLISS จากผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัทเพิ่มเติมจาก 24.35% เป็น 40% ซึ่งทำให้เข้าข่ายเป็นการประกาศต่อสาธารณชนว่าจะเข้าถือหลักทรัพย์ของบริษัท บลิส-เทล เพื่อครอบงำกิจการตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและวิธีการในการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ ตามหลักเกณฑ์ของประกาศคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ทั้งนี้จากข่าวปรากฎขึ้นตนและผู้บริหารของปฎิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้ให้ข่าวดังกล่าว และไม่ทราบว่าข่าวดังกล่าวมาจากแหล่งใด ซึ่งข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว คือบริษัทฯ ได้มีการติดต่อเจรจาที่จะซื้อหุ้นกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ของบริษัทบลิส-เทลหลายราย จนอาจมีความเข้าใจไปว่า บริษัทฯ ต้องการซื้อหุ้นในจำนวนที่เป็นข่าว แต่ในที่สุดมีผู้เสนอขายหุ้นให้แก่บริษัทฯ รวม 4 ราย จำนวนหุ้นรวม 56 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 24.35% ของทุนชำระแล้วของบริษัทดังกล่าว บริษัทฯ จึงได้นำเรื่องเสนอต่อคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2549 และคณะกรรมการบริษัทก็ได้พิจารณาแล้วเห็นว่ามีความเหมาะสมในเชิงธุรกิจและการลงทุน จึงอนุมัติให้บริษัทเข้าซื้อหุ้นของบริษัทบลิส-เทล ตามจำนวนที่มีผู้เสนอขายมาดังกล่าวข้างต้นได้
แหล่งข่าวจากบริษัทอินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เป็นที่น่าสังเกตการเข้ามาตรวจสอบของหุ้นของบริษัทของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งตลาดหลักทรัพย์และสำนักงานก.ล.ต.จะค่อนข้างละเอียดมากกว่าการตรวจสอบในหุ้นบริษัทอื่นๆ ขณะนี้สำนักงานก.ล.ต.ซึ่งเคยได้รับเรื่องกล่าวโทษบริษัทจากตลาดหลักทรัพย์กรณีระบุว่ามีบุคคลจำนวน 33 รายเข้ามาสร้างราคาหุ้นนี้เวลาผ่านไปก็นานแล้วทำไมยังไม่มีผลการตรวจสอบออกมาอีกว่าเป็นอย่างไร
ในส่วนของเรื่องราคาหุ้นที่ขึ้นลงค่อนข้างหวือหวาและมูลค่าการซื้อขายค่อนข้างสูงน่าจะเป็นเพราะบริษัทเป็นบริษัทที่เก่าแก่มีอายุถึง 84 ปีซึ่งคนหลายกลุ่มหลายช่วงอายุที่รู้จักบริษัทมาค่อนข้างนาน เมื่อมีการปรับเปลี่ยนหรือการเข้ามาของนักลงทุนจึงทำให้กลุ่มที่เคยรู้จักพร้อมใจกันกลับเข้ามาเหมือนกัน
"เค้าทำงานกันเหมือนเค้ามีอคติกับเรา คอยกลั่นแกล้งกันโดยตลอดมีบางบริษัทที่มีการประมาณการกำไรกันอย่างชัดเจน แต่เป็นบริษัทที่ใหญ่มากเค้าไม่เคยเข้าไปทำอะไรเลยสอบถามซักครั้งก็ไม่มี ส่วนเรื่องชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับข่าวที่บริษัทจะเข้าไปถือบริษัทบลิสเทลจำนวน 40% เพราะเค้าต้องการให้เราทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์หรือเทนเดอร์ออฟเฟอร์" แหล่งข่าวกล่าว
ด้านแหล่งจากนักวิเคราะห์ กล่าวว่า ข่าวลือที่ปรากฎขึ้นตามสื่อในช่วงที่ผ่านมาหลายเรื่องและกินระยะเวลาค่อนข้างนานของบริษัทไออีซีส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลังโดยตลอด ซึ่งในกรณีดังกล่าวก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเกิดขึ้นจริง เนื่องจากการเข้าไปถือหุ้นในบริษัทใดบริษัทหนึ่งในปัจจุบันสัดส่วนที่ผู้ถือหุ้นใหญ่จะพิจารณาถือครองมักจะมากกว่า 35%
ทั้งนี้ ปัจจุบันการถือครองหุ้นของบริษัทไออีซี ในหุ้นบริษัทบลิสเทล ยังมีสัดส่วนเพียง 24.3% เท่านั้นซึ่งบริษัทอาจจะมีความพยายามที่ซื้อหุ้นเพิ่มและทางที่ง่ายที่สุดคือการซื้อจากผู้ถือหุ้นที่มีหุ้นที่ถือครองค่อนข้างมาก ซึ่งจากข้อมูลผู้ถือหุ้นก็มีเพียงผู้ถือหุ้นอเมริการายเดียวที่มีสัดส่วนการถือครองหุ้นค่อนข้างสูง ด้านความเคลื่อนไหวราคาหุ้น IEC วานนี้ (10 ส.ค.) ราคาปิดที่
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|