|
ขาใหญ่ตลาดหุ้นจับมือเล่นเป็นทีม สายสัมพันธ์แน่น"รวยยกแก๊งค์"
ผู้จัดการรายสัปดาห์(7 สิงหาคม 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
โบรกเกอร์เผยขาใหญ่ตลาดหุ้นเลิกเล่นแบบซื้อถูกขายแพง หันมายึดกิจการแทน สร้างเครือข่ายใหญ่ ทำงานเป็นทีม ได้กำไรมหาศาล ยิ่งมีโบรกเกอร์เป็นของตัวเองยิ่งรวยครบวงจร จับตาก๊วนเตชะอุบล กลับมาใหญ่อย่างรวดเร็ว แถมดราก้อน วัน ที่ "จเรรัฐ"ถือหุ้นใหญ่แค่ครึ่งเดือนคืนทุน แถมเหลือหุ้นอีกเพียบ พบสายสัมพันธ์เชื่อมโยง IEC-EVER ผ่านตัวบุคคล
วิธีการสร้างความร่ำรวยในตลาดหุ้นนอกเหนือจากการซื้อหุ้นราคาต่ำ รอขายในราคาสูงที่เป็นสูตรสำเร็จของนักลงทุนทั่วไปไม่ว่าจะเป็นรายเล็กหรือรายใหญ่ แต่ระยะหลังสูตรทำกำไรดังกล่าวทำได้ไม่ง่ายนัก เนื่องจากหุ้นหลายตัวมีคนคอยดูแล อีกทั้งภาวะเศรษฐกิจสะดุดเพราะพิษราคาน้ำมันและดอกเบี้ยทำให้ราคาหุ้นเคลื่อนไหวค่อนข้างแคบ ไม่คุ้มค่าต่อการลงทุนในลักษณะการเก็งกำไรมากนัก
หุ้นตัวเล็กวิ่งเร็วและแรงหลายตัว ต่างถูกจับจองด้วยขาใหญ่ ที่สามารถลากจูงได้ทุกเมื่อแค่รอจังหวะเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น แต่ที่น่าจับตามองมากที่สุดในเวลานี้มีหุ้น 5-6 ตัว ประกอบด้วย บริษัท ดราก้อน วัน จำกัด (มหาชน) หรือ D1 บริษัท อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) หรือ IEC บริษัท เอเวอร์แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ EVER บริษัท หลักทรัพย์แอ๊ดคินซัน จำกัด (มหาชน) หรือ ASL บริษัท บลิส-เทล จำกัด (มหาชน) หรือ BLISS และบริษัท ทราฟฟิกคอร์นเนอร์โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TRAF
"เตชะอุบล"เร็ว-แรง
ชื่อหุ้นเหล่านี้ถือเป็นหุ้นนักลงทุนรายย่อยที่เน้นเล่นเก็งกำไรคุ้นเคยกันดี แต่ที่กลายเป็นจุดสนใจคือกรณีหุ้น EVER ที่ราคาปรับเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรง จนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต้องห้ามซื้อขายในลักษณะหักกลบราคาค่าซื้อกับราคาค่าขายหลักทรัพย์เดียวกันในวันเดียวกัน (Net Settlement) และห้ามสมาชิกให้ลูกค้ากู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (Margin Trading) จนถึง 1 กันยายน 2549
หลังจากที่ผ่านการฟื้นฟูกิจการจนสามารถเปิดทำการซื้อขายได้ มีการลากราคาหุ้นจาก 3-4 บาทสูงขึ้นไปถึง 12 บาท และที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือการกลับมาของกลุ่มเตชะอุบล เจ้าของเดิมเข้ามาฟื้นฟูกิจการของบริษัท คันทรี่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปลี่ยนชื่อมาเป็น EVER ภายหลัง ปัจจุบันถือหุ้น 38.59%
ขณะเดียวกันฐานของกลุ่มเตชะอุบลยังได้เข้าไปบริหารงานในบริษัทหลักทรัพย์ แอ๊ดคินซัน ที่เปลี่ยนมือมาจากผิน คิ้วไพศาลหรือคิ้วคชา ซึ่งหุ้นตัวนี้ก็ร้อนแรงไม่เบา แม้ดูจากรายชื่อผู้ถือหุ้นจะมีสัดส่วนแค่ 2.92% แต่ตัวสดาวุธ เตชะอุบล นั่งเป็นประธานกรรมการบริหาร
ไม่เพียงแค่นี้ยังมีบุคคลในตระกูลเตชะอุบลถือหุ้นใน IEC หุ้นที่ร้อนแรงอีกตัวหนึ่ง มีชื่อ บี เตชะอุบลถือหุ้นอยู่ 3.49% แต่ในช่วงปลายปี 2548 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2549 ได้มีการเทขายหุ้น ASL ทั้งสิ้น 25 ล้านหุ้นได้เงินไป 104.45 ล้านบาท ซึ่งอีกไม่ช้าข่าวการแลกหุ้นระหว่าง IEC กับ BLISS ก็จะได้ข้อสรุปออกมา
นั่นเป็นการบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่ากลุ่มเตชะอุบลจะถือหุ้นในบริษัทจดทะเบียนขั้นต่ำ 4 แห่ง
D1 เชื่อม IEC-EVER
อีกด้านหนึ่งการรุกเข้ามาซื้อหุ้นใหญ่ในบริษัท ไดอาน่าดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ จำกัด (มหาชน) 76.17% ของจเรรัฐ ปิงคลาศัย อดีตผู้บริหาร IEC ที่เข้ามาซื้อหุ้นจำนวนนี้ไปที่ราคา 4.08 บาทต่อหุ้น เบ็ดเสร็จใช้เงินไปราว 48 ล้านบาท หลังจากนั้นได้มีการปรับราคาพาร์จาก 10 บาท เหลือ 1 บาท เท่ากับว่าราคาหุ้นที่ได้มาอยู่ที่ 0.408 บาทและจำนวนหุ้นเพิ่มจากเดิมอีก 10 เท่าตัว โดยถือครองหุ้นกว่า 118 ล้านหุ้น พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อมาเป็นดราก้อน วัน หรือ D1
หลังจากทำคำเสนอซื้อเสร็จในวันที่ 19 กรกฎาคม จากนั้นผู้ถือหุ้นรายนี้ได้ทยอยขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยให้เหตุผลว่าต้องการลดสัดส่วนการถือหุ้นลง หนึ่งในบุคคลที่ขายหุ้นให้คือสุมิท แช่มประสิทธิ์ ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร IEC และมีการขายออกมาอีกหลายรายการ เพียงแค่ครึ่งเดือนมีการขายหุ้นออกมาแล้ว 33.8 ล้านหุ้น ได้เงินไปแล้ว 56.69 ล้านบาท
ระยะเวลาแค่ 11 วันของการขายออกไปผู้ถือหุ้นใหญ่รายนี้กำไรไปแล้ว 8.48 ล้านบาท และยังเหลือหุ้นอีกมาก ถือเป็นการสร้างรายได้ที่งดงามภายในระยะเวลาอันรวดเร็วหากเขาปล่อยหุ้นออกมาทั้งหมด
จะเห็นได้ว่า D1 เชื่อมโยงกับ IEC ผ่านตัวบุคคลที่เคยเป็นอดีตผู้บริหารที่ยังมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับผู้บริหารในปัจจุบัน
จับตา TRAF เข้าสังกัด
นอกจากนี้หนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของ ASL ยังมี ชนะชัย ลีนะบรรจง ที่ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทจดทะเบียนหลายแห่ง แต่ที่น่าสนใจถือเขาเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 2 ใน TRAF สัดส่วน 5.88% ซึ่งในบริษัทแห่งนี้ เคยมีชื่อของเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวนายกรัฐมนตรีเข้ามาถือหุ้นใหญ่และปล่อยหุ้นออกไปให้กับกลุ่มวิไลลักษณ์ โดยผู้ก่อตั้งบริษัทอย่างสุรพงษ์ เตรียมชาญชัย ได้ตัดสินใจขายหุ้นออกมา 58 ล้านหุ้นหรือ 16.92% ให้กับ พ.ต.อ.รวมนคร ทับทิมธงไชย หนึ่งในผู้บริหารบริษัท อาร์ เอ็น ที จำกัด ที่ได้รับสิทธิพิเศษจากกรมประชาสัมพันธ์ให้ทำทีวีผ่านดาวเทียม และหนึ่งในเจ้าของบริษัทมีคนในตระกูลชินวัตรร่วมบริหารด้วย แต่ภายหลังได้ลาออกไป
หลังจากการเปลี่ยนผู้ถือหุ้นรายใหม่ใน TRAF มูลค่าการซื้อขายของหุ้นตัวนี้ก็เริ่มคึกคักขึ้นกว่าเดิม ซึ่งไม่มีใครตอบได้ว่าผู้ถือหุ้นเหล่านี้เชื่อมโยงเป็นเครือข่ายเดียวกันหรือไม่ เพราะหากถามเจ้าตัวก็ต่างปฏิเสธว่าไม่มีความเกี่ยวข้อง มีเพียงสถานการณ์ในอนาคตเท่านั้นที่จะเป็นตัวเฉลยว่าเขาเหล่านี้เชื่อมโยงกันมากน้อยเพียงใด
แต่ที่แน่ ๆ วิธีการเหล่านี้ช่วยปลุกให้หุ้นที่เกี่ยวข้องร้อนแรงขึ้นมาทันตาเห็น ส่วนใหญ่จะฉกฉวยประโยชน์ในตอนใดนั้นถือเป็นไปตามกลไกของตลาดทุน ซึ่งยากที่หน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลอย่างตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) จะเข้าไปจัดการใด ๆ
รวยด้วยกัน
โบรกเกอร์รายหนึ่งกล่าวว่า ต้องยอมรับว่าหลักการนี้เป็นอีกหนึ่งวิธีการสร้างรายได้ให้กับนักลงทุนที่มีเม็ดเงินหนา เปลี่ยนจากการเป็นนักลงทุนธรรมดาเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทจดทะเบียน แน่นอนว่าเขาเหล่านี้จะทราบว่าผู้บริหารจะมีแผนขยายธุรกิจอย่างไร เพราะบางคนก็เป็นหนึ่งในผู้บริหารของบริษัทด้วย
ถามว่าเมื่อเขารู้ว่าจะมีข่าวดีหรือข่าวร้ายก่อนชาวบ้านแล้วเขาจะไม่ทำอะไรเชียวหรือ ในบางครั้งเราอาจจะไม่เห็นรายการขายหรือซื้อของผู้บริหารเหล่านี้ เพราะเขาจะไม่ถือในชื่อของตัวเองทั้งหมดใช้ตัวแทนรายอื่นเข้ามาถือหุ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบหรือการต้องการรายต่อทางการ แล้วอย่างนี้ทางการจะเอาผิดเขาได้อย่างไร
จริง ๆ แล้วหลักการไม่ได้แตกต่างกันมากนัก อาศัยการจุดพลุ ทำให้ราคาหุ้นดูดี ปล่อยข่าวเชิงบวกออกมาหนุนว่าจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ ส่วนจะทำได้หรือไม่อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งในทางจิตวิทยาแล้วถือเป็นการสร้างแรงซื้อได้เป็นอย่างดี ทั้งหมดนี้อาศัยความโลภของนักเก็งกำไรให้เข้ามาร่วมเส้นทางเท่านั้น
เมื่อเขาเป็นคนกำหนดเกม คุมทุกอย่างได้ หากจะขายหุ้นออกก่อนชาวบ้านคงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่คนที่เจ็บตัวคือบรรดารายย่อยที่เข้ามาลงทุนโดยไม่พิจารณาจากปัจจัยพื้นฐาน
กลุ่มที่กล่าวมาเป็นเพียงแค่กลุ่มหนึ่งเท่านั้น ยังมีอีกหลายกลุ่มที่มีอาณาจักรเป็นของตนเอง ยิ่งนักลงทุนรายใหญ่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในธุรกิจหลักทรัพย์ด้วยแล้ว ทุกอย่างถือว่าครบวงจร ถือเป็นการเอื้อกันทั้งระบบ
ยากเอาผิด
เขากล่าวต่อไปว่าแม้ว่านักลงทุนรายใหญ่จะมีหลายกลุ่ม แต่จริง ๆ แล้วแต่ละกลุ่มก็จะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน จะเห็นได้ว่าเมื่อหุ้นของกลุ่มหนึ่งร้อนแรงขึ้นมา หุ้นกลุ่มอื่นก็จะลดความร้อนแรงลง เหมือนเป็นการผลัดกันครั้งนี้เป็นของคุณ ครั้งหน้าเป็นของผม บางครั้งก็ให้ความร่วมมือซึ่งกันและกัน วิธีการนี้ถือได้ว่ารวยกันทั้งกลุ่ม
สิ่งที่เราเห็นนั่นเป็นเพียงแค่กลุ่มระดับบน ที่เราเห็นจากชื่อในการเข้ามาซื้อหรือขายหุ้นครั้งละมาก ๆ เท่านั้น ในกระบวนการนี้ยังมีกลุ่มย่อย ๆ ซ้อนกันอีกหลายกลุ่ม ส่วนใครจะได้มาก-น้อย หรือขาดทุนกันบ้างก็ขึ้นกับความสนิทสนมกับนักลงทุนขาใหญ่ระดับบนว่าจะให้ข้อมูลว่าจะทำอะไรมากน้อยแค่ไหน
ที่สำคัญหุ้นลักษณะนี้นักวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ต่าง ๆ มักเห็นว่ามีความเสี่ยง มักแนะนำให้ลูกค้าหลีกเลี่ยง จึงไม่มีบทวิเคราะห์ออกมามากนัก บางบริษัทก็ไม่มีบทวิเคราะห์ออกมาเลย ซึ่งตรงนี้ถือเป็นข้อได้เปรียบที่ทำให้บริษัทเหล่านี้มีข่าวเรื่องพันธมิตรรายใหม่ หรือการขยายธุรกรรมออกมาค่อนข้างมา เมื่อรายย่อยไม่สามารถตรวจสอบได้และถ้าชอบเสี่ยง ยิ่งได้เจ้าหน้าที่การตลาดยุด้วยแล้วก็เข้าทางขาใหญ่เหล่านี้ได้ง่าย
เรายังไม่เห็นว่าการกระทำของพวกเขาจะผิดต่อกฎเกณฑ์ของทางการ เพราะเขาศึกษาเรื่องเหล่านี้มาเป็นอย่างดี ดังนั้นหากทางการจะเอาผิดคงทำได้ยาก ซึ่งเราได้เห็นแล้วว่าอย่างมากทางการพยายามปกป้องรายย่อยได้เพียงการให้ซื้อขายหุ้นประเภทนี้ด้วยเงินสด ทำได้แค่เป็นการจำกัดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นเท่านั้น
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|