วังทองกรุ๊ปนับเป็นเจ้าถิ่นรายหนึ่งที่ปักหลักทำโครงการบ้านจัดสรรในย่านนี้นับเป็นเวลาเกือบ
10 ปี เริ่มตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทเมื่อปี 2531 เป็นต้นมา ในรูปแบบของทาวน์เฮาส์ระดับบีถึงบีบวก
หรือทาวน์เฮาส์ที่มีตั้งแต่ระดับราคา 7-8 แสนบาทถึงล้านต้น ๆ คือ ราคาของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ทำมานาน
ตลอดเวลาที่ผ่านมาวังทองจะเปิดโครงการประมาณ 3-4 โครงการมูลค่าประมาณ 4,000
ล้านบาทยอดขายประมาณ 1,500 ล้านบาทต่อปี และปรากฏว่า สามารถทำยอดขายนี้มาได้เกือบตลอดเวลาเช่นกัน
แต่ปีที่มีการแข่งขันกันขายอย่างหนักหน่วงเช่นปี 2539 นี้ วังทองได้ตั้งยอดขายเพิ่มขึ้นด้วยความมั่นใจว่า
กำลังซื้อของคนย่านนี้ไม่ได้ลดลง แต่ปรากฏว่าผิดคาด ถึงปลายปีนี้ ยอดขายของกลุ่มคงไม่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน
ๆ แน่นอน
"เราเจอคู่แข่งมากขึ้น ลูกค้ามีสินค้าให้เลือกมากขึ้น แต่ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจยังชะลอตัวต่อเนื่องอย่างนี้
ยอดขายแค่นี้เราก็พอใจแล้ว" โกมล เจษฎาวรางกูร กรรมการผู้จัดการของกลุ่มวังทองให้ความเห็นกับ
"ผู้จัดการรายเดือน" แล้วยอมรับต่อว่า คู่แข่งที่สำคัญของวังทองขณะนี้ก็คือ
บริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท แนเชอรัลพาร์ค จำกัด (มหาชน)
บริษัทแรกเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงและเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ที่รู้จักกันดี อีกบริษัทหนึ่งเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ เช่นกัน และยังเป็นคลื่นลูกใหม่ในวงการที่มาแรงพอสมควร
วันนี้ในย่านคลอง 2 รังสิต มีโครงการของ 2 บริษัทใหญ่ และวังทองชนกันอย่างจังไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทำเล
รูปแบบ และราคา
โครงการบ้านจัดสรรของแลนด์แอนด์เฮ้าส์ย่านคลอง 2 มีอยู่ 3 โครงการ คือ "สีวลี
รังสิต" ซึ่งเปิดตัวตั้งแต่เดือนกันยายน 2533 ทั้งโครงการมีประมาณ 800
ยูนิต ราคาที่เปิดขายเป็นบ้านเดี่ยว 70 ตารางวาขึ้นไห 3.5 ล้านบาท โครงการที่
2 "ชัยพฤกษ์รังสิต" ซึ่งเปิดตัวเมื่อต้นปี 2538 เป็นบ้านเดี่ยวประมาณ
50 ตารางวาหลังละ 2 ล้านบาทขึ้นไป"
หลังจากนั้นประมาณ 3-4 เดือน แลนด์แอนด์เฮ้าส์ก็เปิดโครงการใหม่ใกล้ ๆ กัน
คือ โครงการบุศรินทร์ รังสิต เป็นทาวน์เฮาส์ขนาด 18 ตารางวา ราคา 1 ล้านบาท
จำนวน 500 กว่ายูนิต
ส่วนแนเชอรัลพาร์คของทศพงศ์ จารุทวี ได้เปิดตัวไปเมื่อช่วงต้นปี 2539 คือ
แนเชอรัลโฮม รังสิต ซึ่งตั้งอยู่บริเวณคลอง 2 เช่นกัน ถึงแม้โครงการของแนเชอรัลฯ
จะเป็นโครงการแรกและโครงการเดียวที่มาเปิดในย่านนี้ แต่เป็นโครงการที่ใหญ่มีทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ในราคา
2 ล้านบาทขึ้นไปในพื้นที่ 335 ไร่จำนวน 1,000 ยูนิตขึ้นไป แถมเน้นจุดขายในเรื่องของสปอร์ตคลับที่สมบูรณ์แบบที่สุดในย่านรังสิตเสียด้วย
ในขณะเดียวกัน โครงการของค่ายวังทองที่กำลังเปิดตัวไปเมื่อต้นปี 2539 และกำลังขายขณะนี้เช่นกัน
ก็คือ "วรางกูร ดิ ไอเดียล ลีฟวิ่ง" เป็นบ้านทาวน์เฮาส์ 2 ชั้น
และ 6 ชั้นเล่นระดับราคา 1 ล้าน 1.6 ล้านบาท ซึ่งมีจำนวน 400 กว่ายูนิต และประมาณกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมานั้นได้เปิดโครกงารใหม่บ้านวรางกูลคลอง
3 ซึ่งเป็นทาวน์เฮาส์ 2 ชั้นราคาประมาณ 9.6 แสนบาทขึ้นไป
"ริเวอร์ ปาร์ค" เป็นอีกโครงการหนึ่งของวังทองที่กำลังขายในย่านรังสิตซึ่งมีทั้งทาวน์เฮาส์
และบ้านเด่ยวตามแผนทั้งโครงการจะมีประมาณ 1,000 ยูนิต
โกมลยังยมรับต่ออีกว่า วังทองสร้างชื่อเสียงกับตลาดของทาวน์เฮาส์มานาน ในขณะเดียวกันก็ละเลยตลาดบ้านเดี่ยวซึ่งเป็นช่องว่างทำให้แลนด์แอนด์เฮ้าส์และแนเชอรัลปาร์คฯ
มาช่วงชิงลูกค้าในส่วนนี้ไป
และสภาพการแข่งขันที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ทำให้ในปี 2540 วังทองต้องกำหนดยุทธวิธีในการก้าวย่างบนถนนสายเรียลเอสเตทใหม่
โดยจะตั้งเป้าหมายของลูกค้าบ้านเดี่ยวระดับบีบวกมากขึ้นในระดับ 2.5-4 ล้านบาท
และที่สำคัญจำเป็นต้องกระจายทำเลออกจากถิ่นเดิมบ้างเช่นกัน เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงในขนาดโครงการที่เล็กลงกว่าเดิม
คือ ประมาณโครงการละไม่เกิน 200 ยูนิตใช้เวลาการขายและปิดโครงการประมาณ 1-2
ปี จากเดิมเคยพัฒนาแต่ละทำเลไม่ต่ำกว่า 500 ยูนิตใช้เวลาในการขายและปิดโครงการประมาณ
4 ปี ด้วยที่ดินที่เตรียมไว้แล้ว คือ บนถนนบางนาตราด สุวินทวงศ์ ถนนรามอินทรา
และถนนพระราม 2
"ด้วยวิธีการนี้จะทำให้กระแสเงินสดเข้ามาเร็วขึ้น เมื่อก่อนวังทองจะไม่ทำโครงการเล็กเพราะกลัวจะไม่คุ้มแต่
ณ วันนี้เป็นเรื่องที่จำเป็น เพราะต้องดึงเงินเข้ามาให้เร็วที่สุด"
โกมลกล่าว และย้ำว่าทุกวันนี้ผู้ประกอบการต้องใช้เงินถึง 2 เท่าเพื่อดึงลูกค้าจำนวนเท่าเดิม
ส่วนแผนการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้น โกมลยังยืนยันว่าพร้อมเพียงแต่รอช่วงจังหวะที่ดีกว่านี้มาก
ๆ เท่านั้น
ซึ่งไม่รู้ว่าจะเป็นเมื่อไหร่ ?