กลุ่มสามารถเล็งขอไลเซ่นส์กทช.เพิ่ม


ผู้จัดการรายวัน(3 สิงหาคม 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

สามารถเล็งยื่นขอไลเซ่นส์ กทช. ขอเป็นเวอร์ชวลเน็ตเวิร์คโอเปอเรเตอร์ หลังรับไลเซ่นส์แรกวีโอไอพี ด้านผลประกอบการครึ่งปีแรกเติบโตเกินเป้า มั่นใจสิ้นปีปิด 2.5 หมื่นล้าน ด้านไอ-โมบาย ขึ้นแท่นพระเอกของกลุ่ม ทำยอดขายเครื่อง 1.9 ล้านเครื่อง เกินกว่ายอดขายทั้งปี 48 ก่อนรุกคืบตลาดอินเดีย อัฟริกาใต้

นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลุ่มสามารถเตรียมยื่นยื่นขอใบอนุญาตประกอบกิจการด้านโทรคมนาคมในส่วนบริการอย่างอื่น หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้รับไลเซ่นส์ในส่วนบริการโทรศัพท์ผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน็ต หรือ วีโอไอพี จากคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) เรียบร้อยแล้ว โดยไลเซ่นส์ที่จะขอเพิ่มเติมนั้น กลุ่มสามารถจะเน้นไปในลักษณะการเป็นผู้ให้บริการบนโครงข่ายมากกว่าการเป็นโอเปอเรเตอร์ เนื่องจากมีความเชี่ยวชาญด้านการทำตลาดมากกว่าการเป็นโอเปอเรเตอร์

สำหรับผลประกอบการโดยรวมในครึ่งปีแรกของกลุ่มสามารถอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ ส่วนรายได้ทั้งปีคาดว่าจะเกินกว่าเป้าหมาย 2.5 หมื่นล้าน ที่ได้ปรับเป้าจากเดิม 2.3 หมื่นล้านบาทด้วยซ้ำ โดยเฉพาะยอดขายโทรศัพท์มือถือของไอ-โมบาย ในช่วงครึ่งปีแรกขายได้ถึง 1.9 ล้านเครื่อง ทั้งในและต่างประเทศสูงกว่าปีที่ผ่านมาทั้งปีที่มียอดขายเพียง 1.8 ล้านเครื่อง โดยเหตุที่ยอดขายมือถือปีนี้สูงกว่าปีที่ผ่านมาเป็นเพราะตลาดต่างประเทศเติบโตเกินความคาดหมาย และคาดว่าในปลายปีนี้จะสามารถทำยอดถึงเป้าหมายที่วางไว้ 2.5 ล้านเครื่อง พร้อมกับคาดว่ารายได้ของไอ-โมบายจะทะลุเป้าหมาย ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้แนวโน้มยอดขายเครื่องต่างประเทศในครึ่งปีหลังจะยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะจะเริ่มรับรู้รายได้จากตลาดอินโดนีเชีย ที่เพิ่งเปิดตลาดในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และยังมีแผนรุกตลาดต่างประเทศเพิ่ม 2- 3 ประเทศ อาทิ ประเทศอินเดีย และในแถบอัฟริกาใต้ ที่ยังมีตลาดขนาดใหญ่ สามารถเติบโตได้อีกมาก โดยจะทำธุรกิจผ่านบริษัท ไอ-โมบาย อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของไอ-โมบาย โดยจะประกอบธุรกิจ มือถือ คอนเทนต์ และธุรกิจค้าส่ง ด้วยการร่วมทุนกับริษัทเทเลคอมชั้นนำอย่างบริษัท เทเลคอม มาเลเชีย ซึ่งทำตลาด ใน 6 ประเทศเอเชีย ได้แก่มาเลเชีย, อินโดนีเชีย, ลาวกับกัมพูชา, เวียดนามและบังคลาเทศ

ส่วนการติดตั้งระบบไอทีที่สุวรรณภูมิมูลค่า 3,200 ล้านบาทขณะนี้ ได้ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว และจะเริ่มรับรู้รายได้เช่นเดียวกับระบบลำเลียงกระเป๋า มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท ก็แล้วเสร็จแล้วเช่นกัน สำหรับการเอาท์ซอสต์ดูแลระบบไอทีนั้นยังไม่ได้มีการเซ็นสัญญา


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.