"ดีขึ้นกว่าระบบเดิม แม้จะดูค่อนข้างซับซ้อนในการหามาตรฐาน" นพ. นที รักษ์พลเมือง


นิตยสารผู้จัดการ( พฤศจิกายน 2538)



กลับสู่หน้าหลัก

"นายแพทย์นที รักษ์พลเมือง ผู้ที่มีอายุพ้นวัยเกษียณมาแล้ว 9 ปี แต่ยังมีหน้าที่สำคัญๆ มีภารกิจปฏิบัติอย่างต่อเนื่องมากมาย ในฐานะนายกสมาคมผู้ปกครอง และครูโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา โรงเรียนเทพศิรินทร์ และโรงเรียนสตรีวิทย์ ที่ลูก ๆ ทั้งสามคนเคยเรียน เฉพาะโรงเตรียมอุดมศึกษาได้รับตำแหน่งนายกมาตั้งแต่ พ.ศ. 2517 สมัยลูกชายยังศึกษาอยู่จนจบปริญญาเอกแล้วในทุกวันนี้

นอกจากนี้ ยังมีตำแหน่งเป็นนายกสภามหาวิทยาลัยมหิดล ที่มีหน้าที่สำคัญ ๆ เกี่ยวกับนโยบายหลัก ๆ และเรื่องอื่น ๆ อีกมาก เป็นแพทย์ประจำที่ภาควิชาศัลยศาสตร์ออร์โธปิติคส์ และกายภาพบำบัดโรงพยาบาลศิริราช ที่ยังคงมาปฏิบัติงานเป็นประจำทุกวันตั้งแต่ 8 โมงเช้า

นายแพทย์นที กล่าวถึงการประชุมกับสมาคมฯ ในช่วงที่ผ่านมาว่า สมาคมผู้ปกครองฯ ที่จะมีการประชุมเดือนละ 1 ครั้ง นั้น ยังไม่มีการพูดคุยถึงการสอบเข้ามหาวิทยาลัยระบบใหม่เลย และก็ไม่ทราบรายละเอียด ที่ผ่านมาจะเน้นเรื่อง การหาทุนทรัพย์และแนวคิดต่าง ๆ ให้กับครูเพื่อให้ไปสู่นักเรียนอีกทอดหนึ่ง

การนำคะแนนเฉลี่ยสะสมของเด็กในแต่ละโรงเรียนไม่เท่ากัน ถ้านำนักเรียนโรงเรียนอื่นมาเข้าเตรียม จากที่เคยได้เกรดเฉลี่ยถึง 4 ก็คงจะไม่ได้ ถ้าเป็นสมัยก่อนหรือตอนนี้ที่เป็นระบบสอบรวมพร้อมกันหมด เป็นเรื่องที่ยุติธรรมที่สุด แต่ก็ไม่ใช่ระบบที่ดี

"การสอบระบบใหม่อาจจะดีขึ้นกว่าระบบเดิมแม้จะดูค่อนข้างซับซ้อนในการหามาตรฐาน แต่จะต้องให้มีมาตรฐานในการวัดและเชื่อถือได้"

ที่น่าเป็นห่วงคือ โรงเรียนทุกโรงเรียนมีมาตรฐานต่าง ๆ กัน โรงเรียนที่ผลคะแนนออกมา ตราไว้ว่าคะแนนมาตรฐานต่ำก็คงจะรู้สึกอย่างไรอยู่ จากเดิมที่มีความรู้สึกที่ไม่เป็นทางการอยู่แล้ว เจอแบบนี้คงยิ่งแย่ลงไปใหญ่

นพ. นทีให้ความเห็นด้วยว่า ส่วนของการพัฒนามาตรฐานโรงเรียน จึงควรเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องทำให้โรงเรียนดีขึ้นเสียก่อน เหมือนอย่างที่ทำมาบ้างแล้ว ในการส่งครูโรงเรียนเตรียมอุดม และโรงเรียนมีชื่อต่าง ๆ ไปช่วยวางระบบในโรงเรียนพี่น้อง ก็ช่วยได้ดี หรือจะให้มีการใช้ข้อสอบจากโรงเรียนแม่ในการทดสอบการเรียนการสอบ ก็เห็นผลจากผลการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของเด็กในโรงเรียนเหล่านั้นที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ

แต่ค่านิยมที่ฝังลึกในโรงเรียนมีชื่อคงเปลี่ยนไม่ได้ เหมือนที่เป็นอยู่กับโรงเรียนพี่น้องถึงเป็นที่ยอมรับมากขึ้น แต่ถ้าเป็นไปได้คนก็ยังเลือกเรียนที่โรงเรียนแม่มากกว่า นายแพทย์นทีเองก็เชื่อเช่นนั้น อย่างการเอาโรงเรียนไปสร้างสาขา ถ้าทำให้ดีเท่ากับโรงเรียนแม่ก็นับว่าโชคดีเต็มที่แล้ว

ส่วนข้อเสียของระบบเดิม ซึ่งเป็นการสอบข้อเขียนอย่างเดียว ไม่ได้วัดความถนัดและความสนใจที่แท้จริงของเด็ก ควรจะเพิ่มเติมในส่วนของการวัดความถนัด เพื่อให้ตรงกับสาขามากขึ้น เหมือนสอบคัดเลือกแพทย์ศิริราชที่ทางมหาวิทยาลัยจัดการทดสอบจะไม่ได้สอบเฉพาะข้อเขียนเหมือนส่วนกลาง

จะเริ่มให้เด็กที่สนใจอยากเรียนเข้ามาดูงานตั้งแต่ชั้นมัธยม ดูว่าสนใจแค่ไหน เรียกว่าใช้เวลานานกว่าจะรับเข้ามา โดยเฉพาะขั้นตอนการสัมภาษณ์ที่จะต้องให้รู้ถึงความคิดของเด็กทั้งเหมาะกับการแพทย์ อาทิ จริยธรรม ความอดทน รับผิดชอบ เมตตา อย่างกรณีที่เรียนเพราะพ่อแม่ให้เรียนนั้นแย่ที่สุด แต่ข้อควรระวังก็คือความยุติธรรมในการให้คะแนน

การวัดผลระหว่างที่ทางมหาวิทยาลัยรับเองกับที่สอบเข้ามาจากส่วนกลาง จนบัดนี้ยังไม่มีการวัดผลว่าส่วนไหนได้ผลกว่ากัน ต้องรออีก 2 ปีจึงจะทราบว่าการเรียนเป็นอย่างไร ผลจากที่สำเร็จไปเป็นหมอแล้วเป็นอย่างไร ตรงตามลักษณะที่ต้องการไหม โดยจะวัดจากเด็กที่เข้ามารุ่นแรกเมื่อ 3 ปีที่แล้ว

ท้ายสุด ตามความเห็นนายแพทย์นที ก็เชื่อว่า แม้วิธีสอบเข้ามหาวิทยาลัยระบบใหม่ที่พยายามปรับปรุงขึ้นยังไม่ดีที่สุด แต่ก็ช่วยลดการแข่งขันลง เพราะทั้งปัจจุบัน หรือในอดีตที่ผ่านมา การสอบเข้ามหาวิทยาลัยของไทยก็ไม่ต่างกันเลย แม้จำนวนคนสอบเพิ่มขึ้น จำนวนที่รับก็เพิ่มขึ้น แต่อัตราส่วนของผู้สอบผ่านและไม่ผ่านก็คงอยู่ในอัตรา 1:10 หรือบวกลบเล็กน้อยเท่านั้นเอง



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.