ตลอดเวลา 34 ปีที่ผ่านมา กำแพงแห่งความน่ากลัวและความเครียดที่นักเรียนรุ่นแล้วรุ่นเล่าต่างประสบมากำลังทลายลง
ในปี 2542 รูปแบบการสอบเอนทรานซ์ เพื่อเข้ามหาวิทยาลัยทั่วประเทศ จะพลิกโฉมหน้าใหม่หมด
นักเรียนกว่า 3 แสนคนในปีนั้น จะต้องพบกับระบบใหม่นี้ ผู้ปกครองจำนวนมากอาจไม่เคย
และไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ ที่มาแนวคิด รูปแบบของเอนทรานซ์ใหม่เป็นเช่นไร
จะลบภาพพจน์มหกรรมแห่งการสอบที่เป็นแรงกดดันมหาศาลต่อจิตใจของลูกหลานของเราได้จริงหรือไม่?
ทั้งหมดเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงแค่รูปแบบ หรือข้อต่อครั้งสำคัญของการปฏิรูปการศึกษาในสังคมไทย
?!
- ทางทบวงมหาวิทยาลัยกำลังดำเนินการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์การสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยใหม่
รูปแบบใหม่ที่วางไว้เป็นอย่างไร
คือรูปแบบใหม่ที่เราจะพูดถึงนี้เป็นการเปลี่ยนวิธีสอบคัดเลือก (ENTRANCE)
รวมไปถึงการเปลี่ยนความคิดในเรื่องการเรียนการสอนของชั้นมัธยมปลายเกือบทั้งหมดเลยก็ว่าได้
ในระบบปัจจุบันก็เป็นระบบการสอบคัดเลือกที่ "ตรง" ที่สุด ตรงมาก
ใครได้คะแนนมากก็ได้ ใครได้คะแนนน้อยก็ตก
เด็กสายวิทย์ ศิลป์-คณิตศาสตร์ หรือศิลป์ภาษา ต้องมานั่งสอบกันหลายวัน
สอบเสร็จแล้วแต่ละคณะ แต่ละมหาวิทยาลัยก็จะกำหนดคะแนนกันว่าจะตัดกันที่ระดับใด
ส่งมาที่ทบวง ทบวงตรวจผลการสอบของเด็กแล้วก็ส่งให้แต่ละมหาวิทยาลัยได้ทราบต่อไป
ว่ามีกี่คนที่ผ่านเกณฑ์จะเป็นการคัดเด็กตามความสูงต่ำของคะแนน วิธีนี้แต่ละมหาวิทยาลัยไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นเพียงแต่แจ้งจำนวนที่รับได้เท่านั้น
แต่วิธีการใหม่ เราให้แต่ละคณะ แต่ละสาขาในแต่ละมหาวิทยาลัยมีสิทธิ์ที่จะสร้างเงื่อนไขคะแนน
หลักสูตร หรือวิชาให้แก่เด็กที่จะเข้ามาเรียนได้ จะดูผลการเรียนรายวิชาในชั้นมัธยมปลาย
ดูคะแนนสะสม ดูคะแนนสอบมาตรฐานประเภทความถนัดทางการเรียน (SCHOLASTIC APTITUDE
TEST หรือ SAT) หรือดูอะไรก็ได้แล้วแต่ อาจใช้สูตร 50-25-25 ที่ทบวงคำนวณขึ้นแล้วเสนอเป็นตุ๊กตาให้ทุกมหาวิทยาลัยไป
สูตร 50-25-25 คือคะแนนสอบเอนทรานซ์ที่ทบวงจัดสอบ 50% คะแนน SAT จากกรมวิชาการ
25% และคะแนนสอบความถนัดหรือความสามารถเป็นรายวิชาสาขาอาชีพนั้น ๆ ซึ่งแต่ละคณะในแต่ละมหาวิทยาลัยเป็นผู้จัดสอบอีก
25% หรือจะสูตรอื่นก็ได้ ตัวเลข 50-25-25 ซึ่งเขาจะใช้หรือไม่ก็ได้ ตรงนี้คาดว่าแต่ละมหาวิทยาลัยคงจะให้คำตอบเราได้เร็ว
ๆ นี้
- เอนทรานซ์รูปแบบใหม่จะเริ่มใช้เมื่อใด และเด็กนักเรียนชั้นไหนในปัจจุบันที่จะอยู่ในเกณฑ์การสอบวิธีใหม่
เราจะเริ่มปีการศึกษา 2542 นั่นคือ นักเรียนซึ่งอยู่มัธยม 4 ของปีการศึกษา
2539 จะต้องเข้าระบบใหม่ ส่วนเด็กมัธยม 4-6 ขณะนี้จะยังสอบวิธีเดิม ทว่านักเรียนมัธยม
5 ขณะนี้อาจจะได้สอบบ้าง และคิดว่าระหว่างปีมัธยม 6 ปีนี้ เราอาจจะเปิดโอกาสให้สอบสัก
2-3 ครั้ง เช่น ภาษาอังกฤษ อาจจะสอบ 2 ครั้ง เราก็จะดูที่คะแนนสุดท้าย หรือคะแนนที่ดีที่สุดของเขา
- อย่างไรก็ตามไม่ว่าทางมหาวิทยาลัยจะเลือกสูตรคะแนนแบบไหน ก็จะต้องมีการสอบวิชาหลักที่ทบวงมหาวิทยาลัยรับผิดชอบ
ในส่วนนี้รายละเอียดและรูปแบบเป็นอย่างไร
รูปแบบการสอบวิชาหลักในอดีต เช่นเด็กที่จะสอบเข้าคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลต้องสอบวิชา
5 วิชา คือฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และวิชาสามัญอีก
1 วิชา คะแนนเต็มวิชาละ 100 คะแนน
สมมุติเด็กสอบได้ 320 เก็บสะสมคะแนน ใน 320 นี้ คะแนนแต่ละวิชาเช่นฟิสิกส์
เคมีชีวะ อาจจะน้อยก็ได้ อาจไปมากที่คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ วิชาสามัญ ซึ่งจริง
ๆ แล้วหากจะให้ดีเหมาะสมกับการเรียน ในคณะวิทยาศาสตร์ในสามวิชาแรก เด็กจะต้องได้คะแนนสูง
เมื่อเป็นเช่นนี้ แสดงว่าเด็กไม่ถนัดทางด้านวิทยาศาสตร์ แต่เมื่อคะแนนถึงเกณฑ์
ก็ได้เข้าเรียน เมื่อเข้าเรียนก็ทำให้เด็กเรียนไม่ถนัดเพราะอ่อนวิชาหลัก
เรียน ๆ ไปลาออกกลางคันบ้างหรือสละสิทธิ์ แล้วสอบใหม่ปีหน้าบ้าง หรืออะไรก็แล้วแต่
เราไม่อยากได้เช่นนี้อีกแล้ว
ในรูปแบบใหม่ จะเป็นการสอบในลักษณะเก็บสะสมคะแนน ซึ่งทำให้นักเรียนรู้ว่า
ตนเองเหมาะสมกับการเรียนในคณะใด
เช่น ถ้าจะสอบเข้าคณะสายศิลป์ อาจต้องสอบวิชาหลัก 4 วิชา นักเรียนจะสอบทีละวิชาอาจจะเริ่มให้สอบตั้งแต่มัธยม
5 เลย และแต่ละวิชาสอบได้สองครั้งในช่วง 2 ปี เลือกคะแนนที่ดีที่สุดครั้งเดียว
ซึ่งเด็กจะทราบทันทีว่าแต่ละวิชาที่สอบได้คะแนนเท่าใด เด็กถนัดวิชาไหน แล้วจะนำคะแนนไปเสนอมหาวิทยาลัยเพื่อคัดเลือกตามเกณฑ์อีกที
วิธีการนี้เด็กจะไม่รู้สึกว่า แข่งขันกับคนอื่นไม่มีความกดดันมาก แต่จะกลายเป็นการแข่งขันกับตัวเอง
คะแนนดีหรือน้อยอยู่กับตัวเองนี่เป็นเป้าหมายสำคัญ
ส่วนวิธีการรายละเอียดว่าจะสมัครสอบอย่างไร เมื่อไร เลือกคณะอย่างไร อยู่ที่คณะกรรมการ
ซึ่งท่านรัฐมนตรีอนุมัติในหลักการยังไม่มีการเลือกกรรมการเลย
- จะไม่มีการสมัครสอบและนำนักเรียนมาสอบรวมกันแบบที่ทำกันมา 34 ปี ?
จะไม่มีการสอบเอนทรานซ์ครั้งละเป็นแสน ๆ คนอีกแล้ว บรรยากาศแบบนั้นกดดันเด็กมาก
ใช้เวลาเพียงวันสองวันตัดสินชะตากรรมของเด็ก ใครปวดท้อง รถติด มาไม่ทันก็ตก
แต่วิธีใหม่ สอบครั้งนี้ไม่ดี ครั้งหน้าแก้ตัวใหม่ก็ได้
- โดยสรุปแล้วที่มาของคะแนนที่กำหนดเพื่อการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยมีอะไรบ้าง
1. คะแนนสะสมมัธยมปลายหรือคะแนน SAT แต่ในความคิดผมอยากให้เป็นแนวทางเดียวกันคือใช้คะแนน
SAT ซึ่งกรมวิชาการจะเริ่มจัดสอบหามาตรฐานการเรียนของแต่ละโรงเรียนในปีหน้าเป็นต้นไปมาใช้เป็นคะแนนมาตรฐานกลาง
ตรงนี้ 25% หรือมากกว่า-น้อยกว่าจะเป็นสิทธิของแต่ละมหาวิทยาลัยกำหนด หรือจะไม่เอาเลยก็ได้
2. คะแนนวิชาหลัก ซึ่งสำนักทดสอบกลางของทบวงเป็นผู้จัดสอบ เหมือนการสอบเอน-ทรานซ์เดิม
แต่จะให้สอบแบบกระจายพื้นที่ใครอยู่ที่ไหน เราก็จัดสอบในพื้นที่นั้น ไม่ต้องเข้ามาแออัดในกรุงเทพฯ
โดยจะเป็นการสอบหลายครั้ง และหลาย ๆ วิชาตามแต่เงื่อนไขของมหาวิทยาลัยแต่ละแห่ง
มีวิชาหลัก ๆ ประมาณ 10 วิชา ตรงนี้ 50% หรือมากกว่า-น้อยกว่า ก็เป็นเรื่องของแต่ละมหาวิทยาลัยกำหนดเข้ามา
ข้อสอบจะเป็นปรนัย หรืออัตนัยก็แล้วแต่กรรมการ
3. คะแนนวิชาความถนัดทางการเรียน โดยเราให้แต่ละมหาวิทยาลัยเป็นผู้รับผิดชอบจัดสอบเอง
ซึ่งหลายคณะหลายมหาวิทยาลัยก็จัดสอบมาก่อนแล้ว เช่น คณะสถาปัตย์ ตรงนี้ 25%
หรือมากกว่า-น้อยกว่าจะเป็นเรื่องของแต่ละมหาวิทยาลัยกำหนดเช่นกัน
4. สุดท้ายก็คือ สอบสัมภาษณ์และตรวจร่างกายเหมือนเดิม
- แต่ละมหาวิทยาลัยสรุปเรื่องอัตราส่วนเปอร์เซ็นของคะแนนมายังทบวงแล้วยัง
ยัง เราเพิ่มตั้งสำนักทดสอบกลางขึ้นมารับผิดชอบ มีฝ่ายออกข้อสอบ ซึ่งเพิ่งได้ปรึกษากันคร่าว
ๆ ประมาณว่าจะมี 10-15 วิชา แต่ละวิชาจะมีกรรมการออกข้อสอบวิชานั้น ๆ จะออกข้อสอบกันทั้งปี
เพื่อเก็บไว้ในคลังข้อสอบ สะสมเอาไว้ จะไม่มีการขังอาจารย์รวมกันเพื่อเค้นสร้างข้อสอบเหมือนที่ผ่านมา
จะออกไปเรื่อย ๆ มีอนุกรรมการดูแล
เสร็จแล้วก็จัดสอบ ซึ่งอาจจะเป็นช่วงปลายของมัธยม 5 ครั้งหนึ่ง หรือมัธยม
6 อีกครั้งหนึ่ง แต่มีสอบหลายครั้งแน่นอน เพื่อเก็บคะแนนไว้เป็นคะแนนวิชาหลัก
ซึ่งเราก็คงต้องดูว่าแต่ละมหาวิทยาลัยมีเงื่อนไขอะไรบ้างที่เด็กจะเข้าไปได้ต่อไป
ตรงนี้ทบวงจะทำเป็นคู่มือให้เด็กทั่วประเทศทราบก่อน เพื่อเป็นคู่มือว่าสาขาที่ตนอยากจะเข้าไปนั้น
ควรจะเรียนอะไร เน้นหนักอะไร ต้องผ่านวิชาถนัดในชั้นมัธยมปลายอะไรบ้าง และควรได้คะแนนเท่าไร
เช่น แต่ละคณะ ต้องการที่วิชาของเด็กมัธยมปลาย หรือต้องการให้สอบวิชาหลักกี่วิชาแต่ละวิชาต้องผ่านเกณฑ์คะแนนเท่าไหร่
ถึงจะเข้าไปได้
- ประเทศอื่น ๆ ในโลกมีวิธีการสอบเอนทรานซ์อย่างไร และวิธีการใหม่ของเราพิจารณาจากประเทศใดเป็นหลัก
แบบที่เราใช้อยู่ปัจจุบันนี้ไม่มีใครใช้อีกแล้ว อาทิ ไต้หวันก็เปลี่ยนให้แต่ละมหาวิทยาลัยกำหนดข้อสอบคะแนนวิชาของตนเอง
มีสำนักทดสอบกลาง เด็กก็ไปสอบที่นั่น คล้าย ๆ สอบโทเฟล แต่มีหลายวิชา
สมมติ คณะวิทยาศาสตร์กำหนดคนที่จะมาสอบเข้าได้ต้องมีคะแนนฟิสิกส์ 60% ชีววิทยา
75% ภาษาอังกฤษ 50% ใครเกินนี้ก็มาสมัครสอบได้ และในระหว่างนี้ทั้งปี สำนักทดสอบกลางก็จัดสอบกันหลาย
ๆ ครั้ง เวลาสอบเด็กก็ไม่เครียด สอบจนกระทั่งครบวิชาที่เป็นเงื่อนไขสำหรับสมัครเข้าสาขานั้น
ซึ่งแต่ละมหาวิทยาลัยกำหนดไม่เท่ากัน
ฉะนั้นหน้าที่ของสำนักทดสอบกลางไต้หวันก็คือ เป็นหน่วยประสานการเข้ามหาวิทยาลัยให้กับนักเรียนทั้งประเทศกับแต่ละมหาวิทยาลัยเท่านั้นเอง
ซึ่งเกาหลีใต้ก็ทำคล้ายกันแต่มหาวิทยาลัยจะไปจัดสอบอีก 2-3 วิชา
ส่วนญี่ปุ่น เขาจะมีสำนักทดสอบกลางจัดสอบวิชาหลักให้ เสร็จแล้วเด็กที่เอาคะแนนไปให้แต่ละมหาวิทยาลัยที่ตนอยากเข้าดูด้วยตัวเอง
ทางมหาวิทยาลัยจะจัดสอบอีกสัก 2 หรือ 3 วิชา แล้วเอาคะแนนมารวมกันระหว่างคะแนนที่มหาวิทยาลัยทำเองกับคะแนนที่เด็กให้มา
สำหรับอังกฤษ เขามีสำนักทดสอบกลางจัดสอบวิชาหลัก พอคะแนนถึงจุด ๆ หนึ่ง
เขาจะให้สิทธิ์เลือก สมมุติเลือกได้ 6 แห่ง สำนักทดสอบกลางก็จะส่งรายชื่อเด็กไปยังมหาวิทยาลัยทั้ง
6 แห่ง แต่ละแห่งจะดูคะแนนกลาง ซึ่งเขาอาจจะเอาคะแนนมัธยมปลายของเด็กมาดูอีกทีก็ได้
เอาคะแนนกลางมาดูด้วยก็ได้ หรือบางสาขาก็ต้องมาสอบความถนัดในสาขาอาชีพนั้นอีก
เสร็จแล้วก็สัมภาษณ์ ตรวจร่างกาย แล้วเอาผลรวมทั้งหมดมาตัดสินว่าจะรับหรือไม่
แต่ละมหาวิทยาลัยก็บอกผ่านสำนักทดสอบกลาง สำนักทดสอบกลางก็บอกเด็ก เด็กก็ไปลงทะเบียนกันอีกที
บางมหาวิทยาลัยในบางประเทศก็จัดสอบใหม่ สอบซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วแต่เขาจะเลือกเพื่อเอาคะแนนมารวมกันเป็นเกณฑ์วัดมาตรฐาน
ส่วนของเราก็ดูจากสามสี่แห่งเป็นหลัก เอาจุดนั้นจุดนี้มาใช้ แต่จะคล้ายคลึงกับของอังกฤษมากที่สุด
หลายคนอาจกังวลเรื่องเด็กฝาก แต่มหาวิทยาลัยเขามีหลักเกณฑ์มีศักดิ์ศรีของเขา
ปัจจุบันผมก็เชื่อว่าไม่มีเรื่องเด็กฝาก มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งต้องสร้างเกณฑ์
สร้างกรรมการสอบและมีกรรมการดูแลที่ชัดเจน การตัดสินใจรับก็อยู่ที่มหาวิทยาลัย
ไม่ใช่ทบวง ผมเชื่อว่าแต่ละมหาวิทยาลัยทำได้
- หากทบวงเชื่อในคะแนน SAT ทำไมทบวงไม่กำหนดไปเลยว่า จะให้คะแนน SAT มีสัดส่วนกี่เปอร์เซนต์ในการสอบ
มิเช่นนั้นจะมีความสับสนมากเพราะแต่ละคณะแต่ละมหาวิทยาลัยมีเมนูในการสอบให้นักเรียนเลือกมากมาย
หากคุณดูการสอบปัจจุบัน ก็มีเป็นพันทางเลือกให้นักเรียนสอบอยู่แล้ว ไม่ต่างกัน
ตรงนี้เป็นนโยบายอิสระที่ทบวงให้แก่มหาวิทยาลัยทั้งหมดว่า จะเชื่อหรือไม่เชื่อหรือจะใช้กี่เปอร์เซ็นต์
ซึ่งต้องเป็นหน้าที่ของกระทรวงศึกษาอีกว่า ทำอย่างไรให้คะแนนทุกโรงเรียนของชั้นมัธยมปลาย
3,000 กว่าโรงเรียนมีมาตรฐาน เมื่อน่าเชื่อถือแล้ว แต่ละมหาวิทยาลัยก็จะเอาไปใช้เอง
ซึ่งบางมหาวิทยาลัยอาจไม่ใช้คะแนนวิชาหลักของทบวง แต่จะใช้คะแนนมาตรฐานกลางเลยก็ได้
จะมากกว่า 25% หรือจะถึง 100% เลยก็ได้
ปัญหาคือคะแนนมาตรฐานกลาง ซึ่งได้มาจากคะแนน SAT เป็นเรื่องใหม่ ต้องอธิบายและทำความเข้าใจกันมาก
และหลายฝ่ายอาจจะเกรงว่าจะสร้างความกังวลหรือตื่นตระหนกให้กับผู้ปกครองนักเรียน
เรื่องคะแนน SAT และคะแนนมาตรฐานกลางก็ไม่ใช่เรื่องที่ทบวงคิดและกำหนดให้มาใช้กับการสอบเอ็นทรานซ์
แต่เป็นเรื่องของกระทรวงศึกษาธิการ เขาคิดมากและจะนำมาใช้อย่างสมบูรณ์ในปี
2542 ซึ่งเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับการปรับเปลี่ยนระบบเอนทรานซ์และเหมาะสมที่จะไปด้วยกันได้
ผมเองก็ยอมรับว่าหากฟังเรื่องคะแนน SAT ในเชิงทฤษฎีคณิตศาสตร์ก็เข้าใจยาก
แต่ผมสรุปให้ฟังง่าย ๆ ว่า สมมุติเด็กนักเรียนโรงเรียน ก. ซึ่งมีชื่อเสียงได้คะแนนสอบ
2.5 หน่วยกิต ขณะที่อีกโรงเรียนหนึ่งซึ่งไม่เป็นที่รู้จักนักได้คะแนนสอบ
3.5 ถ้าดูแค่หน่วยกิตก็ต้องบอกว่านักเรียนโรงเรียน ข. เก่งกว่า
แต่คำถามคือ อะไรคือมาตรฐานกลางของเด็กนักเรียน 2 คนของสองโรงเรียนนี้
หน้าที่ของกรมวิชาการคือออกข้อสอบกลางหรือ SAT นี่แหละ ให้เด็กทั้งสองมาสอบคะแนนที่ได้จะต้องแปรคะแนนออกมาโดยวิธีการทางคณิตศาสตร์
ซึ่งผมเรียกว่า ค่าเค (K)
เสร็จแล้วนำค่าเคนี้ไปคูณกับคะแนนของนักเรียนแต่ละคนเพื่อถ่วงน้ำหนักก็จะได้คะแนนมาตรฐานกลาง
หากเด็กโรงเรียน ก. เก่งจริงเขาก็จะได้คะแนน SAT มาก ค่าเคมาก คะแนนมาตรฐานกลางก็ย่อมจะสูงตามไปด้วย
แต่ใจผม อยากให้แต่ละมหาวิทยาลัยเอาคะแนนมัธยมหรือ SAT ไปใช้ แล้วก็มีสูตรแต่ละแห่งไปเลย
เช่นนี้ความรู้ของเด็กจะได้มีค่าขึ้นมา ครูสอนก็จะได้กระตือรือร้น เด็กจะได้สนใจวิชาเรียนในทุกวิชา
ไม่เช่นนั้นเด็กก็เป็นนักกวดวิชา ไม่ใช่นักเรียน ซึ่งไม่ถูกตามหลักปรัชญาการศึกษา
ที่เปลี่ยนเพราะกรณีนี้ ซึ่งเป็นข้อสำคัญมาก
ทั้งนี้หากเขาเรียนวิชาครบ เรื่องพัฒนาการของเด็กมัธยมปลายซึ่งค่อนข้างเป็นวัยรุ่นก็จะสมบูรณ์
เขาจะได้พลศึกษา สังคม และอะไรต่อมิอะไรทั้งหมด ทำให้เด็กกลับไปสู่วัยศึกษาที่แท้จริง
- สมมุติว่าในระบบเอนทรานซ์ใหม่ เด็กต้องสอบ 4 วิชา ทบวงเปิดโอกาสให้สอบวิชาละ
2 ครั้ง ซึ่งเด็กทุกคนที่จะเอนทรานซ์คงต้องสอบทุกครั้งแน่ เท่ากับว่า เด็กคนหนึ่งต้องสอบถึง
8 ครั้งก่อนเข้ามหาวิทยาลัย
เป็นวัตถุประสงค์อยู่แล้วที่จะให้สอบหลายครั้ง แต่คุณอย่าลืมว่า การสอบแต่ละครั้งสอบวิชาเดียว
บรรยากาศไม่เครียด และการสอบแต่สะครั้งก็ทิ้งช่วงนาน และหากเด็กเขาพอใจคะแนนในการสอบครั้งแรกแล้ว
เขาก็มีสิทธิ์เลือกที่จะไม่สอบครั้งต่อไป
- ระบบการสอบหลายครั้งนี่ อาจจะทำให้โรงเรียนกวดวิชาเฟื่องฟูมากขึ้นก็ได้
ท่านเห็นอย่างไร
เรื่องเก็งหรือติวนั้น มีแน่นอน ไม่ว่าระบบไหนปฏิเสธไม่ได้หรอก อะไรมาเมืองไทยมันมักเสร็จทุกอย่างละครับ
ไปห้ามกวดวิชาคงไม่ได้แต่นักเรียนจะต้องสนใจทุกวิชาและสนใจการเรียนตลอดปี
แทนที่จะมานั่งกวดวิชาแค่ก่อนเอนทรานซ์ หรือกวดเป็นรายวิชาที่ต้องสอบ
- พิจารณาจากรูปแบบ นอกจากจะเป็นการสิ้นสุดยุคของเอนทรานซ์รูปแบบเก่า 34
ปีแล้ว ยังเท่ากับว่าเป็นการสิ้นสุดยุคของการรวบอำนาจทางการศึกษาที่ทุกอย่างจะต้องอยู่ที่ทบวงและกรุงเทพฯ
ด้วยใช่ไหม
ถูกต้องที่สุดเลยครับ คือ ทางที่ดี ทบวงควรทำหน้าที่แค่ประสานงานเท่านั้นเอง
และจริง ๆ แล้วหน้าที่ของมหาวิทยาลัย ก็คือสร้างหลักสูตรขึ้นมาหาอาจารย์
หาห้องเรียน ห้องแลป เสร็จแล้วก็ทำอย่างไรจึงจะรับคนเข้ามาเรียน สอนเขาให้ดี
สอบไล่เขา แล้วให้ปริญญาเขาออกไป
กระบวนการนี้เป็นกระบวนการทั้งหมดเลยทุกมหาวิทยาลัยในโลกเขาทำแบบนี้ มีบ้านเราเท่านั้นแหละที่ทำเช่นนี้
ซึ่งหลักการที่ผ่านมามันไม่ถูกโบราณมาก เราจะต้องให้แต่ละมหาวิทยาลัยมีหน้าที่กำหนดคนเข้าเรียนได้
นับแต่นี้เป็นภาระของแต่ละมหาวิทยาลัยที่เขาจะต้องรับผิดชอบกันเอง