ดิ๊กสัน มาร์เก็ตติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท ดิ๊กสัน
คอนเซ็ปต์ ฮ่องกง ซึ่งมีสาขาอยู่ทั่วโลก และกลุ่มห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล
ภายใต้การนำของสุทธิธรรม จิราธิวัฒน์ เริ่มเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย เมื่อปี
2532 ด้วยทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท
สินค้าที่ดิ๊กสัน มาร์เก็ตติ้ง(ประเทศไทย) เริ่มนำเข้ามาจำหน่ายในช่วงแรก
เป็นเสื้อผ้าสำหรับสุภาพบุรุษชั้นนำที่ทั่วโลกรู้จักดี 3 ยี่ห้อ คือ โปโล
ราฟท์ ลอเรน, ปิแอร์ บัลแมง (ปัจจุบันเลิกทำตลาดไปแล้ว) และชาร์ล จูดองส์
โดยในส่วนของโปโลนั้นเน้นกลุ่มนักธุรกิจที่มีรายได้สูงขณะที่ปิแอร์ บัลแมง
และชาร์ล จูดองส์นั้นจับกลุ่มนักธุรกิจระดับรองลงมา
คียูมาร์ส เชอร์เดล กรรมการผู้จัดการ บริษัทดิ๊กสัน มาร์เก็ตติ้ง (ประเทศไทย)
กล่าวถึงสาเหตุที่ดิ๊กสันเข้ามาเปิดสาขาในประเทศไทยช่วงนั้นว่า เพราะไทยเป็นเพียงประเทศเดียวในเอเชียที่ดิ๊กสันฯ
ยังไม่ได้เข้ามาตั้งสาขา
ส่วนสาเหตุที่เลือกร่วมธุรกิจกับเซ็นทรัลก็เพราะเป็นกลุ่มที่มีอำนาจในธุรกิจค้าปลีก
และเป็นรายใหญ่ในวงการนี้ ประกอบกับมีความชำนาญด้านเสื้อผ้าอยู่แล้ว
สำหรับคียูมาร์ส เชอร์เดลนั้น เขาเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย เมื่อประมาณปี
2525 ก่อนการเกิดของดิ๊กสัน ประเทศไทย 7 ปี เริ่มจากการบริหารธุรกิจเครื่องประดับ
"อิสซาเบลล่า" ของบริษัท ไอบีแอล (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นธุรกิจร่วมทุนระหว่างเซ็นทรัล
ดีพาทเมนท์สโตร์ นักลงทุนท้องถิ่น และบริษัท อิสซาเบลล่า จำกัด ประเทศอังกฤษ
การเป็นผู้บริหารอิสซาเบลล่านี่เองที่ทำให้เขารู้จักกับกลุ่มเซ็นทรัล และมีความสนิทสนมกับสุทธิธรรม
จิราธิวัฒน์เป็นพิเศษ จนมีโอกาสได้ใช้ประสบการณ์ในการทำตลาดเครื่องประดับมาทำตลาดเสื้อผ้าสุภาพบุรุษทั้ง
ๆ ที่กลุ่มเป้าหมายจะต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ดิ๊กสัน มาร์เก็ตติ้ง ใช้เวลาในการลงหลักปักฐานสินค้า 3 ตัวแรกอยู่ 3 ปี
จึงขยายกิจการต่อด้วยการเป็นผู้แทนจำหน่ายเสื้อผ้าชายสไตล์แองโกลอเมริกัน
ยี่ห้อ "HENRY COTTON'S" จากอิตาลี โดยตั้งบริษัท โมเดิร์น เทรดดิชั่นส์
จำกัด ขึ้นมารับผิดชอบ
หลังจากนั้นไม่นานดิ๊กสันก็แตกไลน์ออกไปสู่ตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ส่วนตัว
โดยซื้อแฟรนไชส์ "The Body Shop" ของอังกฤษเข้ามาทำตลาด ภายใต้การบริหารงานของบริษัท
เอิร์ธ แคร์ คอมปานี จำกัด
นอกจากนี้ยังนำเข้าผลิตภัณฑ์เครื่องประดับ "The Bead Shop" จากอังกฤษ
ซึ่งมีคอนเซ็ปต์เด่นอยู่ที่ลูกค้าแต่ละคนสามารถเลือกลูกปัดที่ต้องการมาออกแบบเป็นสายสร้อย
กำไร ต่างหู แบบต่าง ๆ ได้ด้วยไอเดียของตัวเอง โดยมีดีไซเนอร์ของบริษัทช่วยให้คำแนะนำเรื่องความเหมาะสมและสวยงาม
เดือนกรกฎาคม 2538 ที่ผ่าน โมเดิร์น เทรดดิชั่นส์ ก็ได้นำเสื้อผ้าสุภาพบุรุษ
และสตรียี่ห้อ "G 2000" ซึ่งเป็นสินค้าของบริษัท จี 2000 (แอพพาเรล)
ประเทศฮ่องกง ที่ประสบความสำเร็จมาแล้วเกือบทั่วเอเชียเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย
โดยมีการเปิดจุดขายแรกในห้างสรรพสินค้าเซนก่อนที่จะเปิดร้านแรกที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล
พลาซา ลาดพร้าวเมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ภายใต้การบริหารงานของบริษัท
โมเดิร์น เทรดดิชั่น
การเป็นผู้แทนจำหน่ายเสื้อผ้า G 2000 ของโมเดิร์น เทรดดิชั่นครั้งนี้ นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของดิ๊กสัน
มาร์เก็ตติ้ง เพราะแม้ว่าจะเป็นบริษัทลูกผสมไทย-ฮ่องกง แต่ที่ผ่านมาบริษัทเป็นผู้แทนจำหน่ายสินค้าจากยุโรป
และอเมริกาทั้งสิ้น เพิ่งมี G 2000 เป็นตัวแรกที่มาจากฮ่องกง ก่อนที่นำสินค้าตัวอื่นๆ
เข้ามาทำตลาดอีกหลายตัว
โดยล่าสุดในกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ก็เพิ่งมีการเปิดตัวเสื้อผ้าสตรี
"Theme" ของบริษัท ธีม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จากประเทศฮ่องกง
เช่นกัน และวางแผนที่จะเปิดตัวเสื้อผ้ายี่ห้อ U 2 ซึ่งเป็นของบริษัทเดียวกับ
G 2000 อีกด้วย
คียูมาร์กล่าวถึงสาเหตุที่ดิ๊กสันหันมาให้ความสนใจนำเสื้อผ้าจากฮ่องกงเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยว่า
เพราะถ้ามองในแง่ของการเป็นผู้นำแฟชั่นเสื้อผ้าประเภทสะดวกสบายในการสวมใส่แล้ว
ฮ่องกงถือว่ามีความก้าวหน้าเท่าทันสหรัฐอเมริกามาก จนเรียกได้ว่าเป็นสหรัฐอเมริกาเล็ก
ๆ ทีเดียว
ที่สำคัญการนำเสื้อผ้าจากฮ่องกงเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย ยังเป็นการก้าวเข้าไปจับกลุ่มเป้าหมายใหม่ของดิ๊กสันด้วย
เพราะที่ผ่านมาเสื้อผ้าที่บริษัทจัดจำหน่ายจับกลุ่มบีขึ้นไป ขณะที่เสื้อผ้าของฮ่องกงจะจับกลุ่มบีลงมา
โดยเน้นกลุ่มคนหนุ่มสาวที่อยู่ในวัยเริ่มต้นทำงาน ที่ต้องการบริโภคเสื้อผ้าแฟชั่นจากต่างประเทศในราคาที่สามารถจ่ายได้
เพราะถ้าเทียบแล้วเสื้อผ้านำเข้าจากฮ่องกงจะขายได้ในราคาถูกกว่านำเข้าจากสหรัฐอเมริกาและยุโรปถึงครึ่งต่อครึ่ง
ดังนั้นถ้าจัดหมวดหมู่ของสินค้าแล้ว จะพบว่ากลุ่มดิ๊กสันมาร์เก็ตติ้งเป็นผู้แทนจำหน่ายสินค้าจาก
3 แหล่ง คือ เริ่มจากสินค้าจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งขณะนี้มีเพียงโปโล แต่ผู้บริหารดิ๊กสันแย้มพรายให้ฟังว่าในอนาคตจะมีเสื้อผ้าสไตล์ลำลองชื่อดังเข้ามาจำหน่าย
ซึ่งหลายคนพากันคาดหมายว่าอาจจะเป็น GAP หรือ BANANA REPUBLIC
แหล่งที่สอง คือ สินค้าจากยุโรป ซึ่งมีอยู่มากมายหลายตัวและเป็นกลุ่มที่ทำรายได้หลักให้บริษัทอยู่ในปัจจุบัน
โดยในเร็ว ๆ นี้จะนำเสื้อผ้าสตรีระดับสูงยี่ห้อ "FACONNABLE" จากฝรั่งเศสเข้ามาทำตลาดเพิ่มอีก
1 ยี่ห้อ
แหล่งล่าสุด สินค้าจากเอเชีย ซึ่งประเดิมด้วยสินค้าจากฮ่องกง
นอกจากเสื้อผ้า เครื่องประดับและของใช้ส่วนตัวแล้ว บริษัทยังสนใจที่จะนำเฟอร์นิเจอร์จากต่างประเทศเข้ามาทำตลาดอีกด้วย
คียูมาร์สกล่าวว่า การที่ดิ๊กสันกรุ๊ปทำตลาดสินค้าหลากหลายประเภท จะทำให้บริษัทมีประสบการณ์ทางการตลาดมากขึ้น
"โดยสิ่งที่เรามั่นใจมากที่สุดก็คือ ประสบการณ์ในการทำตลาดเสื้อผ้า
แม้ว่าตอนนี้บริษัทอาจจะต้องทนทุกข์กับอัตราภาษีนำเข้าสูงถึง 45% แต่ในอีก
2 ปีข้างหน้าภาษีจะลดลงมาเหลือ 25% และเหลือเพียง 5% ในอีก 2 ปีถัดจากนั้น
ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นจะมีคนนำเสื้อผ้าจากต่างประเทศเข้ามาทำตลาดมากมาย เพราะสามารถแข่งขันด้านราคากับสินค้าในประเทศได้
แต่เราไม่ห่วง เพราะตอนนั้นเราก็คงสามารถยึดตลาดไว้ได้มากแล้ว"
ด้วยเหตุนี้ดิ๊กสันจึงมีจุดยืนที่แน่ชัดที่จะทำเป็นผู้นำเข้าเสื้อผ้าแบรนด์อินเตอร์ต่อไป
โดยไม่สนใจที่จะทำตลาดเสื้อผ้าโลคัลแบรนด์ เพราะนอกจากจะเพื่อซื้ออนาคตแล้ว
บริษัทยังได้เรียนรู้โนว์ฮาวด้านการทำตลาด การผลิต การออกแบบที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา
แม้ว่าจะมีข้อจำกัดในเรื่องการส่งออกรูปแบบการตกแต่งร้าน ที่ต้องทำตลาดสเป็กของเมือนอกทำให้ต้นทุนของสินค้าสูงอยู่บ้างก็ตาม
"แต่เพื่อหลีกเลี่ยงการลงทุนแล้วสูญเปล่า หากเจ้าของสินค้าเปลี่ยนใจดึงสินค้ากลับไปทำเอง
เราจึงคิดถึงเรื่องการดึงเจ้าของสินค้าเข้ามาร่วมทุนกับเราด้วยในอนาคต อย่างจี
2000 นี่เป็นที่แน่นอนแล้วว่าอีก 2 ปีข้างหน้าเขาจะเข้ามาร่วมลงทุนกับเรา
เพื่อเขาจะได้ให้ความร่วมมือกับเรามากขึ้น ส่วนบริษัทอื่น ๆ ก็มีการเจรจาในแนวนี้ต่อไป"
จักรพงษ์ เฉลิมชัย ผู้จัดการทั่วไปของดิ๊กสัน มาร์เก็ตติ้ง และโมเดิร์น เทรดดิชั่นส์
ซึ่งเป็นผู้ช่วยมือหนึ่งของคียูมาร์สเล่าถึงแนวทางป้องกันให้ฟังทิ้งท้าย