ใครจะคิดว่าคนที่จบด้านนิวเคลียร์ฟิสิกส์ ที่ยาก และมีผู้เรียนเพียงไม่กี่คนจะหันมาทุ่มเทให้งานด้านการศึกษาอย่างหาตัวจับได้ยาก
หากแต่ ดร. สิปปนนท์ เกตุทัต ผู้ที่จบโดยตรงทางด้านกลับพูดถึงผลของสิ่งที่ได้เรียนมาว่า
การเรียนนิวเคลียร์ฟิสิกส์เป็นผลให้รู้วิธีการเรียนรู้ ซึ่งผู้เรียนสามารถหาความรู้จากไหนก็ได้
และจากสิ่งที่ได้เรียนรู้มาทั้งหมด ทำให้ ดร. สิปนนท์ สรุปได้ว่า การจัดการที่ยากไปถึงยากที่สุดคือ
การบริหารงาน เงิน คน และเวลา นั่นเอง
ที่สำคัญ หากไร้ซึ่งการศึกษาด้วยแล้ว การบริหารสิ่งเหล่านี้ ก็คงจะเป็นเรื่องที่เป็นไปใหม่ได้เลย
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ ดร.สิปปนนท์ เริ่มสนใจและทำงานด้านการศึกษามาตั้งแต่
พ.ศ.2517 โดยเคยเป็นส่วนหนึ่งของผู้ที่วางรากฐานเพื่อคุณภาพการศึกษาของประเทศ
ที่เน้นเรื่องความเสมอภาคในโอกาสและคุณภาพทางการศึกษาเป็นหลัก
แต่นับจนบัดนี้ ดร. สิปปนนท์ เอง ก็ยอมรับว่าสิ่งที่เคยทำมานั้น ไม่สำเร็จตามแผน
ที่วางไว้ ซึ่งดร.สิปปนนท์ ก็ไม่ได้วางมือและยังคงทุมเท ให้การศึกษาอยู่เสมอจนปรากฏภาพลักษณ์ในสายตาคนทั่วไป
ว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาคนหนึ่งของเมืองไทย ที่ไม่ได้ให้ความสำคัญแต่เพียงการศึกษาในระบบ
" สิ่งที่ผมปฏิบัติอยู่เสมอเวลามีโอกาสเกินทางไปยังที่ต่าง ๆ คือ
การหาโอกาสไปพบปะกับสิ่งรอบด้าน ทั้งหน่วยงานรัฐ เอกชน บุคคล และองค์การต่าง
ๆ เพื่อดูงานและหาประสบการณ์ไม่เฉพาะด้านการศึกษา แต่รวมถึงเรื่องของศิลปะวัฒนธรรม
โดยจะใช้เวลามากว่าครึ่งของเวลาที่ว่างจากภารกิจที่ต้องปฏิบัติ" ดร.
สิปนนท์ จะกล่าวเปิดตัวในลักษณะนี้ทุกครั้งเมื่อมีโอกาสแวะไปเยี่ยมชมหน่วยงานใด
ๆ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้ไม่เคยหยุดชีวิตที่มีให้การศึกษา
กระทั่งเมื่อปลายปี 2537 ธนาคารกสิกรไทย โดยบัณฑูร ลำซำ ประธานกรรมการได้จัดกิจกิจกรรมในชื่อ
" การศึกษาไทยในยุคโลกาภิวัฒน์" ขึ้น เพื่อฉลองที่ธนาคารกสิกรไทยมีอายุครบ
50 ปี โดยเลือกกิจกรรมด้านการศึกษาเป็นหนึ่งในกิจกรรมอีกหลายด้าน เพราะเชื่อว่า
การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญต่อความมั่นคงและความเจริญก้าวหน้าของประเทศ อีกทั้งที่ผ่านมานโยบายการศึกษาจึงไม่ค่อยทำกับแบบจริงจัง
เพราะถือว่า เป็นสิ่งที่มีอยู่ จึงทำกันแบบเรื่อย ๆ ไม่เสริมสร้างเพื่อการแข่งขันกับโลก
ทำให้ประเทศไทยสูญเสียความสามารถด้านการแข่งขันทั้งด้านคุณภาพชีวิตและการค้าของโลก
บัณฑูร ล่ำซำ นำเรื่องเข้าปรึกษาอดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ดร.โกวิท วรพิพัฒน์
และอดีตปลัดทบวงมหาวิทยาลัย ดร. วิจิตร ศรีสอ้าน ซึ่งทั้งสองได้แนะนำ ดร.สิปนนท์
ว่าเป็นผู้ที่สนใจด้านการศึกษาอย่างมาก พร้อมทั้งแนะนำให้เชิญมาเป็นประธานคณะศึกษาการศึกษาไทยในยุคโลกาภิวัฒน์
ดร.สิปปนนท์ เองมีความตั้งใจอยู่แล้ว ที่จะปลุกจิตใต้สำนึกในใจทุกคนว่า
" การศึกษา คือหน้าที่ทุกคน เพราะโลกในอนาคตเปลี่ยนแปลงเร็ว ประเทศไทย จำเป็นต้องหาแนวทางการศึกษาว่าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
เพื่อรับมือกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก
เมื่อได้รับการทางทามจึงตอบนับและยินดี พร้อมกับรวบรวมคนที่มีความรู้ ความชำนาญ
ประสบการณ์และผลงาน ทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน จำนวน 20 คน ตั้งเป็นคณะศึกษาในรูปแบบการรวมตัวกันเองโดยไม่มีสถานภาพอย่างเป็นทางการ
เพื่อ ระดมความคิดเห็นด้านการศึกษาก่อนจะนำเสนอเป็นยุทธ์ศาสตร์ในการพัฒนาบรรจุ
ไว้ในนโยบายของประเทศ ให้มีนโยบายการศึกษาที่สามารถสร้างคนให้มีความเท่าเทียมกัน
ด้านการศึกษาและได้ระดับมาตรฐานสากล สำหรับคงวามพร้อมที่จะดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัฒน์
ได้อย่างไม่ด้อยกว่าชาติอื่น
" กระแสโลกาภิวัฒน์ อาจนำพาบางสิ่งบางอย่างมาสู่สังคมไทย ทั้งทางด้านบวกและด้านลบ
การเตรียมความพร้อมในทุกด้านจึงเป้เรื่องสำคัญยิ่ง โดยเฉพาะความพร้อมทางด้านศักยภาพของคนและกำลังคนถือว่า
เป็นรากฐานสำคัญที่สุด ผมหวังว่า กระแสการรับรู้สำนึกในความสำคัญของปัญหาทางการศึกษา
และสิ่งที่คณะทำงานจะทำขึ้นมา เมื่อกระจายออกไปแล้วจะเกิดความสำนึกโดยกว้าง
ของคนไทยให้เห็นถึงความจำเป็นของการศึกษาและเมื่อมหาชนรับรู้ การศึกษาเป็นตัวก่อให้เกิดจิตสำนึกรวมถึงก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่าง
ๆ ในประทศต่อไป"
นับจากวันนั้น ชีวิตหลังเกษียณของ ดร.สิปนนท์ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นประธานให้กับหน่วยงานต่าง
ๆ อยู่แล้วนับ 10 แห่ง อาทิ ประธานกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานของธนาคารซากุระ ประธานธนาคารซูมิโตโม ฯลฯ ก็ได้มีงานเพื่อสังคมเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งชิ้น
ซึ่งดร. สิปนนท์ ยืนยันว่า แม้จะเกษียณแล้วก็ยังมีความตั้งใจที่จะทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมชาติบ้านเมือง
ไม่เน้นว่าเป็นเรื่องไหนถ้าทำได้ดีก็พร้อมจะทำ
" งานการศึกษา ถ้ามีโอกาสผมจะทำ อย่างงานที่อยู่ในกองทุนสนับสนุนสภาการวิจัย
ถ้ามีโอกาสผมจะพยายามหาทุนจากหน่วยงานต่าง ๆ เพราะคนไทยยังมีวกฤตทางปัญญาที่ชัดเจน
เรายังทุมเทให้กับการเรียนรู้น้อย เกินไป ทั้งการเรียนรู้ของเก่าและใหม่
งานวิจัยและการพัฒนาก็ยังมีน้อย แบงก์ที่ผมเป็นประธาน อยู่ก็จะพยายามแนะนำผู้บริหารให้ทุนแก่นักเรียนยากจน"
อย่างไรก็ดี ในส่วนของงานคณะศึกษาฯ ดร. สิปปนนท์ ยังให้คำตอบไม่ได้ว่าหลังสิ้นสุดโครงการแล้ว
คณะศึกษาฯ จะยังคงสภาพอยู่หรือไม่ เพราะปัจจุบันคณะศึกษาจะพบกันเดือนละ 1-2
ครั้ง นอกเหนือจากการสัมมนาในภูมิภาคต่าง ๆ สิ้นสุดแล้ว เหลือเพียงรอการสรุปผล
และการสัมมนาครั้งสุดท้ายในส่วนของภาคกลางที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิตต์
ในวันที่ 18 ตุลาคม 2538 นี้
ก่อนหน้านี้ โครงการนี้เริ่มมีมาตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2537 เริ่มสัมมนาในภูมิภาคต่าง
ๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลการศึกษาจากทุกระดับในทุกภูมิภาคว่าเป็นอย่างไร โดยคณะศึกษาตั้งเป้าหมายในสิ่งที่ต้องการไว้
3 ประการ คือการศึกษาที่ปรารถนาและเหมาะสม 2. ในการปฏิบัติมีเงื่อนไขแนวทางและมาตรการอย่างไร
และ 3. โครงการหรือกิจกรรมที่เริ่มใน 1 ปีข้างหน้า เป็นอย่างไร ทั้งในส่วนภูมิภาคปฏิบัติได้เอง
และในส่วนที่จะร่วมมือกับภาครัฐ
" การจะหาความพอดีระหว่างความร่วมมือทางการศึกษาเพื่อพัฒนาตนเองและการแข่งขัน
ให้ก้าวทันโลก สำหรับสังคมไทย ไม่ใช่เรื่องลำบาก เพราะสังคมไทยเป็นสังคมที่ค่อนข้างอะลุ่มอล่วย
มีการเริ่มต้นการเรียนรู้ อานออกเขียนได้ คิดเลขเป็น ทำเลขเป็น เมื่อถึงขั้นหนึ่งก็เรียนรู้ภาษาและงานต่างประเทศ
ขณะเดียวกันก็มีการเรียนรู้งานเรื่องท้องถิ่นด้วย " ดร. สิปนนท์ กล่าวพร้อมยกตัวอย่างให้ฟังถึงการหาความพอดีในการศึกษาที่เหมาะสมโดยยกตัวอย่างสถาบันราชฏัฏว่า
สภาบันราชภัฏ เป็นแหล่งที่ผลิตและอบรมครูเพื่อไปผลิตเด็ก ที่มีคุณภาพ นอกจากจะมีวิชาที่สอนให้รู้เรื่องโลกภายนอกแล้ว
ก็ต้องเรียนรู้ถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อถ่ายทอดและอนุรักษ์ไว้ เป็นการเรียนที่ผสมผสานให้ครูมีความรู้และมีความภูมิใจ
ชาวบ้านใกล้เคียงมีกิจกรรมที่พึงตนเองได้ การเรียนรู้ของสถาบันราชภัฎ ถ้าได้เชื่อมกับโรงเรียนการสอนก้าวหน้าไปอีกมาก
เรียกว่าได้เรียนรู้ทั้งการรู้ตัวเอง ท้องถิ่น และโลกภายนอก แต่การพัฒนาก็ต้องเป็นไปตามขั้นตอนเริ่มพึ่งตนเอง
เกิดความภูมิใจ มีศักดิ์ศรี
สำหรับการสัมมนาของคณะศึกษาฯ ในหัวข้อ " การศึกษาไทยในยุคโลกาภิวัฒน์
สู่ความก้าวหน้าและความมั่นคงของชาติในศตวรรษหน้า" ครั้งแรกมีที่ภาคตะวันออกเฉพียงเหนือ
จ.ขอนแก่น ในเดือนมีนาคม ภาคเหนือที่ จ. ลำปาง และภาคใต้ ที่จ. สงขลา เมื่อเดือนพฤษภาคม
ที่ผ่านมา
ในการสัมมนาครั้งสุดท้าย คณะศึกษาจะได้ผลซึ่งคาดว่า จะประมวลได้เสร็จสิ้นประมาณ
ปลายปี 2538 ต้นปี 2539 อันเป็นผลจะแสดงว่าแนวทางการศึกษาของสังคมไทยควรจะเป็นเช่นไร
โดยจะมีการตรวจสอบจากผู้เสนออีกครั้งว่าใช่แผนวานที่เคยเสนอมาหรือไม่ จะแก้ไขตรงไหน
แต่ถ้าผู้เสนอเพิกเฉย ก็แสดงว่า เปล่าประโยชน์ที่จะปลูกจิตสำนึกซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของงานนี้
เมื่อได้ผลประมวลทั้งหมด คณะศึกษาโดยดร.สิปนนท์ จะเป็นผู้นำผลงานนี้เสนอไปยังหน่วยงานรัฐ
ในรูปของรายงานที่ระบุชัดเจนถึงหน้าที่ของรัฐ ประชาชน และพ่อแม่ ในเรื่องการศึกษา
และเชื่อว่าเมื่อเสนอผลลานนี้ไปแล้ว ไม่ว่ารัฐบาลจะเปลี่ยนแปลงหรือเปลี่ยนผู้มีอำนาจคุมกระทรวงหรือทบวงอย่างไร
ทุกคนจะยอมรับ และปฏิบัติตามสิ่งที่เสนอ เพราะเป็นแผนจากคนส่วนมาก และมาจากทุกระดับทุกภาค
ซึ่งต่างจากแผนการศึกษาเดิม ๆ ที่เสนอโดยกลุ่มนักวิชาการและจะกลายเป็นแผนที่ใช้ได้ยั่งยืนต่อไป
ความสมหวังของดร.สิปนนท์ ในด้านการศึกษา คงไม่ได้จบลงที่ผลงานชิ่นนี้ถูกบรรจุอยู่ในแผนพัฒนาแห่งชาติเท่านั้น
หากแต่จะจบลงด้วยการได้เห็นดอกไม้ทุกดอกเบ่งบานได้ทัดเทียมกัน นั่นก็คือ
การที่ทุกคนสามารถพึ่งตนเองและช่วยเหลือผู้อื่นได้ รวมถึงการรู้จักตัวเอง
วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม