|

ขาใหญ่ลากหุ้นเล็กเย้ยตลท. เอเวอร์แลนด์เกือบชนซิลลิ่ง
ผู้จัดการรายวัน(20 กรกฎาคม 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
นักลงทุนรายใหญ่เข้ามาไล่ราคาหุ้นเก็งกำไรตัวเล็กวิ่งเย้ยตลาดหลักทรัพย์ ช่วงภาวะตลาดหุ้นซบเซา เอเวอร์แลนด์ร้อนแรงไม่เลิกราคาวิ่งเกือบชนซิลลิ่ง ไล่ราคาช่วง 10 นาทีสุดท้าย พร้อมนำทีมหุ้นเก็งกำไรอื่นๆ "MME-IEC-POWER-THECO"แห่วิ่งตาม
โบรกเกอร์มองปัจจัยลบเยอะกดดันหุ้น นักลงทุนหันมาเก็งกำไรหุ้นถูก ติงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดูแลใกล้ชิดหวั่นผู้ถือหุ้นรายย่อยได้รับความเสียหาย
ภาวะการซื้อขายหุ้นวานนี้ (19 ก.ค.) ในช่วงที่ภาวะตลาดหุ้นซบเซา เพราะได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกจากสถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลาง ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น อัตราดอกเบี้ย เป็นต้น ขณะที่ปัจจัยในประเทศ โดยเฉพาะปัญหาทางการเมืองที่ยังไม่มีความชัดเจน ทำให้หุ้นเก็งกำไรขนาดเล็กราคาปรับตัวขึ้นมาอย่างหวือหวาและมีมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น ซึ่งประกอบด้วยหุ้นบริษัทเอเวอร์แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือEVER ราคาปิดที่ 8.90 บาท เพิ่มขึ้น 1.95 บาท หรือ 28.06% มูลค่าการซื้อขาย 340.46 ล้านบาทโดยราคาหุ้นมีการปรับขึ้นอย่างรุนแรงในช่วง 10 นาทีสุดท้ายของปิดตลาดเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน
หุ้นบริษัทไมด้า-เมดดาลิสท์ เอ็นเธอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ MME ราคาปิดที่ 7.65 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท หรือ 19.53% มูลค่าการซื้อขาย 156.49 ล้านบาท, หุ้นบริษัท อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) หรือ IEC ราคาปิดที่ 2.40 บาท เพิ่มขึ้น 0.18 บาท หรือ 8.11% มูลค่าการซื้อขาย 340.46 ล้านบาท, หุ้นบริษัทเพาเวอร์-พี จำกัด (มหาชน) หรือPOWER ราคาปิดที่ 2.88 บาท เพิ่มขึ้น 0.16 บาท หรือ 5.88% มูลค่าการซื้อขาย 108.88 ล้านบาท, หุ้นบริษัทไทยฮีทเอ็กซ์เช้นจ์ จำกัด (มหาชน) หรือTHECO ราคาปิดที่ 1.56 บาท เพิ่มขึ้น 0.06 บาท หรือ 4% มูลค่าการซื้อขาย 37.35 ล้านบาท
***11วันทำการ EVER พุ่ง 42%
ในส่วนของความเคลื่อนไหวราคาหุ้นในกลุ่ม (3 ก.ค.-19 ก.ค.) หุ้น EVER ราคาเพิ่มขึ้น 2.65 บาท หรือ 42.4% โดยราคาสูงสุดในช่วงดังกล่าวอยู่ที่ 12.80 บาท และราคาต่ำสุดอยู่ที่ 4.90 บาท, หุ้น POWER ราคาปิดเพิ่มขึ้น 0.66 บาท หรือ 29.72% โดยราคาสูงสุดในช่วงดังกล่าวอยู่ที่ 3.44 บาท และราคาต่ำสุดอยู่ที่ 2.20 บาท,หุ้นIEC ราคาปิดลดลง 0.32 บาท หรือ 11.76% โดยราคาสูงสุดในช่วงดังกล่าวอยู่ที่ 2.78 บาท และราคาต่ำสุดอยู่ที่ 2.04 บาท, หุ้นTHECO ราคาปิดลดลง 0.27 บาท หรือ 14.75% โดยราคาสูงสุดในช่วงดังกล่าวอยู่ที่ 1.83 บาท และราคาต่ำสุดอยู่ที่ 1.48 บาท และหุ้น MME ราคาลดลง 1.35 บาท หรือ 15% โดยราคาสูงสุดในช่วงดังกล่าวอยู่ที่ 10.20 บาท และราคาต่ำสุดอยู่ที่ 6.25 บาท
แหล่งข่าวจากโบรกเกอร์เปิดเผยว่า การที่ราคาหุ้นเก็งกำไรหลายบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้น และมีมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นขึ้น ซึ่งสวนทางกับภาวะตลาดหุ้นโดยรวมที่ซบเซานั้น เนื่องจากมีกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่เข้ามาไล่ราคาหุ้น โดยเฉพาะหุ้น EVER ที่ราคาปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และมีการไล่ราคาในช่วงท้ายตลาด ซึ่งหุ้นบริษัท EVER ถือเป็นตัวจุดพลุทำให้หุ้นเก็งกำไรขนาดเล็กตัวอื่นๆ ราคาปรับตัวสูงขึ้นตามนักลงทุนที่แห่เข้ามาซื้อตามจึงควรที่จะระมัดระวัง
นายเกียรติก้อง เดโช ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจและกลุยทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ซิกโก้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หุ้นขนาดเล็กเริ่มกลับมาได้รับความสนใจจากนักลงทุนโดยเฉพาะในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากเป็นการตอบรับการไม่ปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยซึ่งส่งผลดีกับภาระในเรื่องดอกเบี้ยของบริษัท ขณะที่หุ้นขนาดเล็กอื่นๆ เป็นการเข้ามาเก็งกำไรในภาวะที่ตลาดหุ้นไม่สดใสเท่านั้น
ทั้งนี้การไม่สามารถปรับขึ้นได้ของหุ้นขนาดใหญ่โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มพลังงานหลังจากที่ราคาหุ้นก่อนหน้านี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาค่อนข้างมากจึงส่งผลทำให้นักลงทุนหยุดการซื้อขายขณะที่บางกลุ่มหันมาเล่นหุ้นเก็งกำไรขนาดเล็ก
อย่างไรก็ตามประเด็นที่น่าสนใจที่นักลงทุนจะต้องจับตาคือเรื่องที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดจะมีการประกาศนโยบายเกี่ยวกับการปรับอัตรดอกเบี้ยในการประชุมครั้งต่อไปว่าจะมีทิศทางอย่างไร
นายชัย จิรเสรีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หุ้นขนาดเล็กที่กลับมาคึกคักส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นที่ยังมีข่าวที่ยังสามารถใช้เก็งกำไรได้ ไม่ว่าจะเป็นการควบรวมกิจการหรือการออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ ซึ่งในภาวะที่ตลาดหุ้นซบเซาหุ้นจึงได้รับความสนใจมากขึ้นโดยการแกว่งตัวระหว่างวันอาจจะสูงมาก
ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์จะต้องเข้ามาดูแลในเรื่องความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นเนื่องจากอาจจะส่งผลกระทบต่อนักลงทุนที่ไม่เข้าใจ ซึ่งทางบริษัทยอมรับว่ามีลูกค้าที่สนใจจะเข้าลงทุนจำนวนหนึ่งโดยคำแนะนำของบริษัททำได้เพียงการให้คำแนะนำถึงจุดตัดขายขาดทุนหากราคาหุ้นปรับตัวลดลงมามากเท่านั้น
อย่างไรก็ตามสิ่งที่หน่วยงานที่ดูแลให้ข้อมูลกับนักลงทุนในทุกสัปดาห์เกี่ยวกับปริมาณการซื้อขายหุ้นในรอบสัปดาห์ (Turn Over list) ก็น่าจะเป็นสิ่งที่นักลงทุนใช้ประกอบการพิจารณาก่อนจะเข้ามาลงทุนได้
**โบรกฯเชื่อQ4หุ้นพุ่ง
ด้านภาวะการลงทุนในคตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (19 ก.ค.) ดัชนีแกว่งตัวในกรอบแคบๆสลับกันทั้งในแดนลบและแดนบวก ก่อนดัชนีปิดที่ 660.11 จุด เพิ่มขึ้น 0.53 จุด หรือ 0.08% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 664.21 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 657.06 จุด มูลค่าการซื้อขาย 8,827.77 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 320.87 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 145.02 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 175.85 ล้านบาท
นายปรัชญา กุลวณิชพิสิฐ กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นรุนแรงในช่วงไตรมาสที่ 4/49 นี้ หลังจากในช่วงที่ผ่านมาดัชนีปรับตัวลดลงค่อนข้างมากขณะที่ปัจจัยลบต่างๆ ทั้งจากนอกประเทศและในประเทศที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นน่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น
ทั้งนี้ปัจจัยทางด้านการเมืองภายในประเทศแม้ว่าจะไม่มีความรุนแรงในแง่ของการประทะกันเกิดขึ้นก็ตาม แต่กลับส่งผลกระทบที่รุนแรงทางด้านจิตวิทยาทางความคิดมากกว่าซึ่งปัญหาดังกล่าวถือว่าเป็นปัญหาที่หาทางออกได้ยาก
ส่วนปัจจัยภายนอกนั้นยังคงต้องจับตาดูการปรับอัตราดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมครั้งต่อไปในเดือนสิงหาคม 2549 นี้ ซึ่งหากเฟดหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลดีในระยะยาวต่อตลาดหุ้นไทย
สำหรับครึ่งปีหลังคาดว่าหุ้นกลุ่มพลังงานยังน่ามีความโดดเด่นอยู่เนื่องจากภาวะราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง และกลุ่มธนาคารเนื่องจากผลกระทบระหว่างช่องว่างอัตรดอกเบี้ยไม่น่าจะส่งผลต่อผลการดำเนินงานมาก
กลับสู่หน้าหลัก
 ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|