ริชชี่วิชั่นรุกตลาดแว่นตาไฮเอนด์ เล็งขยายร้านอินฟินิตี้ฯเพิ่ม2แห่ง


ผู้จัดการรายวัน(14 กรกฎาคม 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

ริชชี่ วิชั่นเดินเกมรุกตลาดแว่นตาไฮเอนด์เต็มสูบ เล็งเปิดร้านอินฟินิตี้ แกลลอรี่เพิ่ม 2 แห่งในปีนี้ที่เซ็นทรัล เวิลด์และโครงการเอสพานาร์ด ภายใต้งบลงทุนสาขาละ 2 ล้านบาท ครึ่งปีหลังเล็งเปิดตัว 5 แบรนด์ดัง เช่น โคมฮาร์ทจากอเมริกา ล่าสุดเปิดตัวแว่นตา Starck รุ่น "เอ-ลู-เอ็กซ์" หวังเจาะกลุ่มไฮโซกระเป๋าหนัก คาดยอดจองแว่นกว่า 50ชิ้น ส่วนยอดรายได้จากร้านอินฟินิตี้ฯทั้งที่เกษรและสยาม พารากอนตั้งเป้ากว่า 60 ล้านบาท

นายก่อเกียรติ เกียรตินิพูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทริชชี่ วิชั่น จำกัด เจ้าของร้านจำหน่ายแว่นตาอินฟินิตี้ แกลลอรี่ ผู้นำเข้าและจำหน่ายแว่นตากว่า 20 แบรนด์ อาทิ Alain Mikli, Starck ฯลฯ และ เปิดเผยว่า บริษัทฯมีแผนขยายสาขาร้านอินฟินิตี้ แกลลอรี่ (Infinity Gallery) อย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้เล็งเปิดเพิ่ม 2 แห่ง ได้แก่ ที่เซ็นทรัล เวิลด์ พลาซ่า คาดว่าจะได้เห็นประมาณช่วงปลายเดือนกรกฎาคมนี้ และอีกแห่งเตรียมเปิดที่โครงการเอสพานาร์ด แถวรัชดา คาดว่าจะเปิดได้ในช่วงปลายปี ซึ่งงบลงทุนในแต่ละสาขาจะใช้ประมาณ 2 ล้านบาทขึ้นไป

จากปัจจุบันมีร้านอินฟินิตี้ฯด้วยกัน 2 สาขา ได้แก่ ที่เกษรและสยาม พารากอน นอกจากนี้ในปีหน้าบริษัทฯเล็งเปิดสาขาเพิ่มที่พัทยา และปี 2551 เล็งเปิดสาขาที่เพลย์กราวด์ เป็นต้น

ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทฯมีร้านจำหน่ายแว่นตาอยู่ 3 แบรนด์ ประกอบด้วย 1.ร้านอินฟินิตี้ แกลลอรี่ เจาะกลุ่มตลาดบน 2.ร้านอาย สเตชั่น เจาะกลุ่มตลาดล่าง มี 3 สาขา ได้แก่ ที่เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน,สยามสแควร์ และเพลินจิต 3.ร้านเพอร์เฟ็กซ์ จำหน่ายสินค้าแว่นตาแบรนด์นำเข้าต่างๆ เช่น กุชชี่ เจาะกลุ่มลูกค้าตลาดกลาง ซึ่งขณะนี้มีอยู่ 3 สาขา

ล่าสุดบริษัทฯได้เปิดตัวแว่นตา "Starck " คอลเลคชั่นใหม่ "Alux(เอ-ลู-เอ็กซ์")" ซึ่งเป็นรุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่นผลิต 1,000 ชิ้นทั่วโลก แบ่งเป็นรุ่นที่เป็น optical frames จำนวน 500 ตัว และรุ่น solar frames จำนวน 500 ตัว โดยที่ประเทศไทยบริษัทฯคาดว่าจะมียอดจองสินค้า 50 ชิ้นขึ้นไป ซึ่งระดับราคาสินค้าจะอยู่ที่ 3-7 หมื่นบาท

สำหรับยอดรายได้สิ้นปีนี้ของร้านอินฟินิตี้ฯทั้ง2 สาขาคาดว่าจะมียอดรวมประมาณ 60 ล้านบาท แบ่งเป็นที่เกษร 40 ล้านบาทและสยาม พารากอน 20 ล้านบาท โดยยอดรายได้ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาพบว่ายอดขายยังเป็นไปตามเป้าหมาย โดยเฉพาะสาขาที่สยาม พารากอนได้รับการตอบรับดีจากกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่น กลุ่มยุโรปและคนญี่ปุ่น คิดเป็นสัดส่วน 50% และคนไทย 50% ส่วนที่สาขาเกษรพลาซ่า แบ่งกลุ่มลูกค้าไว้ที่ คนไทย 30% คนต่างชาติ 70% เพราะราคาของสินค้าในประเทศไทยจะถูกกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆจึงทำให้คนต่างชาตินิยมซื้อสินค้าในไทย

“บริษัทฯมองเห็นแนวโน้มธุรกิจแว่นตาในไทยว่าจะขยายตัวขึ้นอีกมาก ด้วยไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปของคนไทยและคุณภาพรวมถึงดีไซน์ในมาตรฐานการผลิตแว่นตา อีกทั้งทางบริษัทฯยังมั่นใจในศักยภาพการผลิตจนก้าวมาสู่การเป็นผู้นำในตลาดแว่นตาระดับโลก ซึ่งขยายไลน์สินค้าให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับการสวมใส่สบาย” นายก่อเกียรติกล่าว


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.