ตลาดหุ้นไทยร่วง13จุดหวั่นสงคราม


ผู้จัดการรายวัน(14 กรกฎาคม 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

ดัชนีตลาดหุ้นไทย ร่วงระนาวกว่า 13 จุด เหตุนักลงทุนกังวลสงครามระหว่างอิสราเอล-เลบานอลบานปลาย ขณะที่ต่างชาติเริ่มกลับลำเข้ามาลงทุนอีกรอบ 2 สัปดาห์ยอดซื้อสุทธิเกือบ 1.2 หมื่นล้านบาท ด้านผู้ว่าแบงก์ชาติ ขานรับทุนเคลื่อนย้ายเข้าไทย หลังดอลลาร์อ่อนค่า คาดกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายรุนแรงอีก 2 ปี ส่วนการเดินทางไปโรดโชว์ที่สิงคโปร์ของคลัง-ตลาดหุ้น นักลงทุนตอบรับเพียบ "ศุภวุฒิ" ชี้ต่างชาติยังห่วงปัญหาการเมืองในประเทศมีเป็นอันดับหนึ่ง เผยไม่ได้ตั้งเป้าเม็ดเงินลงทุนเข้ามาตลาดหุ้นไทย ระบุต้องการชี้แจงและให้ข้อมูลเพื่อสร้างความมั่นใจ

ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ วานนี้ (13 ก.ค.) ดัชนีเปิดตลาดช่วงเช้าในแดนบวกก่อนจะปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงในช่วงบ่าย เนื่องจากนักลงทุนกังวลเกี่ยวกับประเด็นสงครามระหว่างอิสราเอลและเลบานอนผู้ส่งออกน้ำมันที่สำคัญ ซึ่งจะส่งผลกระทบทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น รวมถึงความกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมืองหลังศาลรัฐธรรมนูญรับวินิจฉัยคำร้องเสนอให้ยุบพรรค 5 พรรค

โดยดัชนีตลาดหุ้นได้ปรับตัวลดลงมาปิดที่จุดต่ำสุดที่ 672.34 จุด ลดลง 13.68 จุด หรือ 1.99% ขณะที่จุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 686.61 จุด มูลค่าการซื้อขาย 11,708.11 ล้านบาท ทั้งนี้การซื้อขายของนักลงทุนรายกลุ่ม ปรากฏว่า นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 24.60 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 530.48 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 555.08 ล้านบาท

จากการสำรวจปริมาณการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติในช่วงที่ผ่านมา พบว่านักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาซื้อสุทธิอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 27 มิถุนายน - 12 กรกฎาคม (รวมทั้งสิ้น 16 วัน) โดยประเด็นหลักที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจคือ ราคาหุ้นขนาดใหญ่ปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก ทำให้ยอดการซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศในช่วงดังกล่าวรวมทั้งสิ้น 11,638.22 ล้านบาท ก่อนที่จะขายสุทธิเมื่อวานนี้ ขณะมูลค่าการซื้อขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมายังสูงกว่า 7.1 หมื่นล้านบาท

นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ UOBKH กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงเกิดจากนักลงทุนมีความกังวลในเรื่องสถานการณ์ความรุนแรงในตะวันออกกลาง ระหว่างอิสราเอลกับเลบานอน ซึ่งทหารของเลบานอนมีการจับตัวทหารของอิสราเอลไว้ 2 คน และการโจมตีแหล่งน้ำมันของอิตาลีในประเทศแอลจีเรีย ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้ามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นทะลุ 75 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลอีกครั้ง จึงทำให้มีความกังวลในเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจ

ขณะเดียวกัน ปัจจัยลบในประเทศคือ การที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับวินิจฉัยเรื่องการยุบ 5 พรรคการเมืองยังคงต้องรอผลการพิจารณาว่าจะออกมาอย่างไร รวมถึงเรื่องการประชุมของคณะกรรมการธนาคารกลางญี่ปุ่นเกี่ยวกับการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยทำให้นักลงทุนกังวลและขายหุ้นออกมา โดยตลาดหุ้นจีนมีการปรับตัวลดลงแรงสุดถึง 4.9%

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่านักลงทุนยังคงกังวลในเรื่องสถานการณ์ทางตะวันออกกลางต่อเนื่อง หากสถานการณ์ไม่รุนแรง ดัชนีอาจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้แต่ไม่มาก โดยมองแนวรับที่ระดับ 666-668 จุด แนวต้านที่ระดับ 677-679 จุด

นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.แอ๊ดคินซัน หรือ ASL กล่าวว่า ผลกระทบจากความรุนแรงในตะวันออกกลางทำให้มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นในแถบยุโรป และตลาดหุ้นในแถบภูมิภาคมีการปรับตัวลดลง ทำให้ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้ามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นซึ่งส่งผลกระทบต่อต้นทุนการขายน้ำมัน

ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่ายังคงได้รับผลกระทบจากปัจจัยทางตะวันออกลางประกอบกับตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วงปรับฐาน โดยแนะนำให้นักลงทุนมีการชะลอการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงจากที่ตลาดหุ้นมีปัจจัยลบต่างๆ เช่น เศรษฐกิจมีการชะลอตัว ปัจจัยทางการเมือง ปัจจัยทางต่างประเทศ โดยมองแนวรับที่ระดับ 666 จุด แนวต้านที่ระดับ 680 จุด

นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน จำกัด (มหาชน)หรือ CNS กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงตลาดหุ้นทั่วโลกจากความไม่สงบในแถบตะวันออกกลาง ประกอบกับการที่ศาลรัฐธรรมนูญมีการรับวินิจฉัยการยุบ 5 พรรคการเมือง จึงทำให้นักลงทุนมีความกังวลจึงมีการขายหุ้นออกมา

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้ คาดว่าจะมีการเคลื่อนไหวตามตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยมองแนวรับที่ระดับ 662-660 จุด แนวต้านที่ระดับ 680 จุด

นายแสงธรรม จรณชัยกุล ผู้อำนวยการอาวุโส บล.ธนชาต กล่าวว่า ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติได้เริ่มกลับเข้ามาซื้อสุทธิรวมกว่า 1 หมื่นล้านบาท ทำให้อาจจะมีสัญญาณการขายทำกำไรออกมาบ้างเนื่องจากภาวะตลาดหุ้นยังมีความผันผวนจากปัจจัยลบต่างๆ

***ธปท.เผยเงินทุนไหลเข้าไทย-เอเชีย

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีเงินทุนไหลกลับเข้ามาในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย เป็นเงินทุนจากนักลงทุนนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา เนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า ส่งผลทำให้ค่าเงินบาท ปรับตัวแข็งค่าขึ้นตามทิศทางดังกล่าว ซึ่ง ธปท.เข้าไปแทรกแซงการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทน้อยมาก อย่างไรก็ตาม ธปท.ก็ต้องดูแลไม่ให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนหวือหวาเกินไป และคาดว่าในอีก 2 ปีข้างหน้าก็ยังคงมีการเคลื่อนย้ายเงินทุนอยู่ ตราบใดที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังมีปัญหา โดยล่าสุดดุลการค้าสหรัฐขาดดุลเพิ่มขึ้น

"การไหลกลับของเงินทุนต่างชาติในครั้งนี้ไม่รุนแรง ธปท.สามารถที่จะรับมือได้ ส่วนใหญ่เป็นการเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นในระยะสั้นๆ ไม่ใช่ระยะยาว ขึ้นกับภาวะตลาด ค่าเงิน และผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนในหุ้น"

ผู้ว่าฯ ธปท.ระบุว่า ภาพรวมช่วง 4 เดือนแรกของปี 2549 มีเงินทุนไหลเข้ามาค่อนข้างมาก โดยเฉพาะเดือนเมษายน แต่ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ซึ่งเป็นช่วงการปิดงวดบัญชีครึ่งปีของบริษัทต่างๆ นักลงทุนต่างชาติมีการส่งกำไรกลับประเทศตนเอง แต่ขณะนี้เม็ดเงินลงทุนได้กลับเข้ามาในประเทศไทยอีกครั้งแล้ว

"ทิศทางตลาดหุ้นไทย ในอีก 2 เดือนข้างหน้าตลาดหุ้นจะปรับตัวดีขึ้น เพราะยังมีเงินทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย รวมทั้งค่า P/E ของตลาดหุ้นไทยยังต่ำเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถขับเคลื่อนได้ต่อไปแม้จะไม่มีรัฐบาลถาวรก็ตาม โดยมาจากการลงทุนของภาคเอกชนที่ยังมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง"

ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนั้น ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (MLR) ปัจจุบันเฉลี่ยปีนี้อยู่ที่ระดับ 8% และเงินฝากเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 3% ถือว่าเป็นระดับที่ภาคธุรกิจสามารถรับได้ ส่วนการที่ธนาคารพาณิชย์ยังไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้นั้น เพราะเงินฝากยังขยายตัวอยู่ในระดับที่สูงกว่าการขยายตัวของสินเชื่อ นอกจากนี้แม้ธนาคารพาณิชย์จะมีการปล่อยสินเชื่อได้น้อยกว่าเงินฝาก แต่ธนาคารพาณิชย์กลับได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรที่ดีกว่า

นอกจากนี้ ในวันจันทร์ที่ 17 กรกฎาคมนี้ นายทนง ทิพยะ รักษาการ รมว.คลัง เตรียมเข้ามาพูดคุยกับตนและนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รักษาการ รมว.พาณิชย์ ในการประชุมทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยน

***ต่างชาติกังวลปัญหาการเมือง

ด้านนายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดงานบรรยายข้อมูล (โรดโชว์) ที่ประเทศสิงคโปร์ เปิดเผยว่า การเดินทางไปโรดโชว์ในครั้งนี้ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนสถาบันค่อนข้างดี โดยมีกองทุนประมาณ 35 แห่ง ซึ่งมีเม็ดเงินที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นประมาณมากกว่า 50%ของนักลงทุนสถาบันเข้าร่วมฟังข้อมูล

ทั้งนี้ สิ่งที่นักลงทุนสถาบันต่างให้ความสนใจสอบถามข้อมูล ประเด็นหลัก คือความชัดเจนทางด้านการเมืองรวมถึงความเป็นไปได้ถึงการจัดการเลือกตั้งในวันที่ 15 ตุลาคมนี้ ซึ่งหากไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ สถานการณ์ที่ไม่ชัดเจนแบบนี้จะเป็นอย่างไร รวมถึงหากไม่สามารถจัดการเลือกตั้งในวันดังกล่าวได้การเลือกตั้งอีกครั้งจะเกิดขึ้นได้เมื่อไหร่

นอกจากนี้ ประเด็นที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจสอบถามเพิ่มเติมทั้งในเรื่องนโยบายการคลังในภาวะที่การเมืองยังไม่ชัดเจนจะมีความยืดหยุ่นมากน้อยเพียงไร รวมทั้งนโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจการส่งเสริมการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เป็นอย่างไร

"การได้มีโอกาสชี้แจงและให้ข้อมูลกับนักลงทุนในช่วงที่ไม่เป็นปกติ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เนื่องจากจะสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนและยังบ่งบอกได้ถึงความเป็นมืออาชีพ เพราะการให้ข้อมูลในช่วงที่ภาวะเป็นปกติถือว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย" นายศุภวุฒิ กล่าว

สำหรับการเดินทางไปในครั้งนี้ ได้มีการเชิญบริษัทจดทะเบียนจำนวน 10 บริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับนโยบายทางภาครัฐ โครงการเมกะโปรเจกต์ ทั้งกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และธนาคาร เพื่อให้ข้อมูลถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น รวมทั้งนักลงทุนสถาบันได้มีการนัดเพื่อขอทราบรายละเอียดกับบริษัทจดทะเบียนต่างๆเพื่อเป็นข้อมูลในการใช้ประกอบการตัดสินใจเข้ามาลงทุน

อย่างไรก็ตาม การจัดงานในครั้งนี้ไม่ได้คาดหวังจำนวนเม็ดเงินที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็นหลักแต่ต้องการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนสถาบันต่างประเทศต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศให้มากขึ้นทั้งในเรื่องเศรษฐกิจและสังคม


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.