“ไอซีที”เลื่อนอี-ออคชั่นสมาร์ทการ์ด อ้างทดสอบเทคนิคไม่ทันหวั่นซ้ำรอยเก่า


ผู้จัดการรายวัน(13 กรกฎาคม 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

ไอซีทีชี้จำเป็นต้องเลื่อนประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์หรืออี-ออคชั่น สมาร์ทการ์ดไปเป็นวันที่ 19 ก.ค.นี้ เหตุคณะกรรมการเทคนิคตรวจสอบไม่ทัน อ้างต้องลงลึกตรวจทุกใบ ของทั้ง6 รายรวม 600 ใบ หวั่นบัตรไม่ตรงตามทีโอาร์และเกิดปัญหาซ้ำรอยเดิม จนส่งมอบไม่ได้

นายเทิดศักดิ์ แพทยานันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที เปิดเผยว่าการประกวดราคาจัดทำบัตรประจำตัวประชาชนอิเล็กทรอนิกส์แบบอเนกประสงค์ (Smart Card) ด้วยวิธีประกวดราคาแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ อี-ออคชั่น จำนวนล็อตแรก 13 ล้านใบจากทั้งหมด 26 ล้านใบ จากกำหนดเดิมที่จะต้องดำเนินการในวันที่ 12 ก.ค.นี้ กระทรวงไอซีที มีความจำเป็นต้องเลื่อนการอี-ออคชั่น ไปในวันที่ 19 ก.ค. นี้ เนื่องจากขั้นตอนการทดสอบประสิทธิภาพบัตรยังไม่แล้วเสร็จครบตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ตามข้อกำหนดในการประกวดราคา (ทีโออาร์)

“การเลื่อนอี-ออคชั่นเป็น 19 ก.ค.เพราะได้คาดเวลาผิด เนื่องจากกรรมการด้านเทคนิคจะต้องทดสอบบัตรของผู้เข้าประกวดราคาทั้ง 6 รายๆละ 100 ใบอย่างละเอียดให้เป็นไปตามทีโออาร์โดยเฉพาะตัวแอปพลิเคชั่นจาวา นั้นมีถึง 1 พันรายการ จึงทำให้ต้องเลื่อนเวลาออกไปอีกสัปดาห์หนึ่ง”

อย่างไรก็ตามขั้นตอนการตรวจสอบทางเทคนิค จะต้องโปร่งใสและไม่มีมีปัญหาอย่างแน่นอน เพราะคณะกรรมการประกวดราคาทั้ง 5 คน มี 1 คนที่เป็นคนนอกและมีความเชี่ยวชาญทางด้านเทคนิคเป็นอย่างมาก อีกทั้งการทดสอบประสิทธิภาพบัตร ทั้งในด้านซอฟต์แวร์ และ แอปพลิเคชั่น ที่จะนำมาบรรจุไว้ คณะกรรมการจะทำการทดสอบบัตรทุกใบ ไม่มีการสุ่มหรือเลือก เพื่อให้การทดสอบนั้นเกิดความยุติธรรมแก่ทุกฝ่ายและสามารถคัดเลือกผู้ที่เหมาะสมได้มากที่สุด

นายเทิดศักดิ์ กล่าวอีกว่า การที่คณะกรรมการเทคนิค จะต้องขอเลื่อนเวลาออกไปอีกนั้น เพื่อให้การทดสอบต่างๆเกิดความลงตัวให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้ปัญหาในด้านการบรรจุซอฟต์แวร์ หรือ การนำไปใช้แล้วมีปัญหา เหมือนกับครั้งที่ผ่านมา โดยครั้งนี้กระทรวงไอซีที จึงจำเป็นต้องดำเนินการอย่างรัดกุมที่สุด ก่อนที่จะเข้ากระบวนการ อี-ออคชั่น

ทั้งนี้ในขั้นตอนต่อไปคณะกรรมการประกวดราคา จะรอเอกสารจากคณะกรรมการฝ่ายเทคนิค ที่คาดว่าจะได้ข้อสรุปไม่เกินวันศุกร์ที่ 14 ก.ค.และในสัปดาห์หน้าคณะกรรมการจะทำการประชุม สรุปผลจากขั้นตอนทั้งหมด ว่ามีผู้ผ่านกี่ราย เพื่อให้ได้ผู้ที่เหมาะสมเข้าสู่กระบวนการ อี ออคชั่น ต่อไป

“ตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าใครได้ ใครผ่าน ซึ่งในส่วนนี้จะนำผลเข้ามารวบรวมอีกครั้ง โดยเมื่อได้แล้ว ทางกระทรวงไอซีทีก็จะแจ้งไปยังผู้เข้าแข่งขันเอง ก่อนวันเข้าอี-ออคชั่น โดยรายชื่อนั้นจะไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากข้อกำหนดที่ระบุไว้ตามประกาศของกรมบัญชีกลาง ในการจัดซื้อจัดจ้างหน่วยงานราชการ บอกได้แค่ว่าผ่านกี่ราย และตกเพราะอะไร”

สำหรับขั้นตอนในการตรวจสอบคุณสมบัติทั้งหมดของผู้ยื่นซองทุกรายในเบื้องต้นทุกรายได้ผ่านเกณฑ์คุณสมบัติ โดยบริษัทเอกชนเข้าร่วมยื่นซองเป็นลักษณะกลุ่มกิจการค้าร่วม(Consortium) และลักษณะกิจการร่วมค้า(Joint Venture) เป็นจำนวน 6 กลุ่ม จากก่อนหน้านี้ได้มีผู้สนใจเข้าซื้อซองเพื่อประกวดราคาจำนวน 37 ราย

การจัดประมูลบัตรสมาร์ทการ์ด ครั้งนี้ เป็นการดำเนินการจัดซื้อครั้งที่2 ของกระทรวง ไอซีที ที่ได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรีให้เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการจัดซื้อ โดยได้เริ่มตั้งแต่ในปี 2547 จากเฟสแรก จำนวน 12 ล้านใบ มูลค่า 1,440 ล้านบาท โดยกิจการร่วมค้าเอ็กซอลโตและจันวาณิชย์ ซีเคียวริตี้ พริ้นติ้ง เป็นชนะการประมูลสมาร์ทการ์ด ด้วยวงเงิน 1,370 บาท โดยต่ำกว่าราคากลาง 70 ล้านบาท ซึ่งบัตรมีมูลค่าใบละ 114 บาท

โดยการประมูลในครั้งนั้นได้มีบริษัทที่สนใจเข้าซื้อซองทีโออาร์ประมาณ 32 ราย แต่เข้ายื่นซองเพื่อเข้าประมูลเพียง 3 ราย และมี 2 รายที่มีคุณสมบัติพร้อมในการประมูลครั้งนี้ คือ กลุ่มกิจการร่วมค้า เอส.เอส.ไอ และไอ.ซี.เอส ประกอบด้วย บริษัท สมาร์ทการ์ด ซิสเต็มส์ อินเตอร์เนชั่นแนล และโอเบอร์ทัว การ์ด ซิสเต็มส์ โดยจ้างบริษัทไทย บริติช ซีเคียวริตี้ พริ้นติ้ง จำกัด(มหาชน) พิมพ์บัตร บริษัท จี&ดี บริษัท ทีอีซีโอ ไต้หวัน จำกัด บริษัท Giesecker&Devrient Gmbhontel Card Indutry และกลุ่มกิจการร่วมค้า จันวาณิชย์ ซีเคียวริตี้ พริ้นติ้ง และเอ็กซอลโต้


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.