เศรษฐกิจซบซีพีฉวยโอกาสเปิดชอป


ผู้จัดการรายวัน(7 กรกฎาคม 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

“ซีพี” ผนึกสินค้าในเครือสร้างอำนาจต่อรองเชนโมเดิร์นเทรดยักษ์ใหญ่ ฉวยเศรษฐกิจซบชงโมเดลขายแฟรนไชส์”ซีพี เฟรชมาร์ท” เปิดร้านขายไส้กรอก-ไก่เข้าถึงผู้บริโภคทั่วประเทศ ชูยุทธศาสตร์ 3 ปี ธุรกิจนมขึ้นเป็นอันดับหนึ่งทุกเซกเมนต์ อัดฉีด 300 ล้านบาท บูมนมพาสเจอร์ไรส์-โยเกิร์ตนำร่อง เสริมทัพขยายสาวขายนม เล็งลั่นกลองบุกน้ำถั่วเหลือง-ยูเอชที 3 ปีรายได้จากกว่า 3,000 ล้านบาท แตะ 5,000 ล้านบาท

พี-เมจิ บริษัทในเครือซีพี เปิดเผยว่า ในเครือซีพีขณะนี้ได้วางยุทธศาสตร์ในการทำตลาด โดยอาศัยเครือข่ายการกระจายสินค้าในเครือ เพื่อสร้างอำนาจการต่อรองกับรีเทลเลอร์รายใหญ่ อีกทั้งยังทำให้มีกำไรที่สูงขึ้น นอกจากนี้ในภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว บริษัทยังได้เตรียมขยายช่องทางจำหน่ายให้ครอบคลุมมากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสให้เข้าถึงผู้บริโภคได้ทั่วประเทศ นำร่องด้วยการเปิดขายแฟรนไชส์”ซีพีเฟรชมาร์ท”เป็นครั้งแรก จากเดิมที่มีอยู่ 150 สาขา เป็นการลงทุนจากซีพีเองทั้งหมด แบ่งเป็น กรุงเทพฯ 30 แห่ง และอีก 120 แห่งในต่างจังหวัด ทั้งนี้แฟรนไชส์ซีพีเฟรชมาร์ทใช้งบลงทุน 5-6 แสนบาทต่อสาขา

ด้านธุรกิจนมแบรนด์”ซีพี-เมจิ” ซึ่งเกิดจากการร่วมทุนระหว่างซีพีกับบริษัทญี่ปุ่นนั้น ได้วางแผนระยะ 3 ปี ภายใต้การใช้งบการตลาด 300 ล้านบาท เพื่อผลักดันรายได้รวมจากกว่า 3,000 ล้านบาท เป็นแตะ 5,000 ล้านบาทหรือขึ้นเป็นอันดับหนึ่งแต่ละเซกเมนต์ หรือมาจากการเปิดตัวสินค้าในตลาดที่บริษัทยังไม่มี อาทิ นมยูเอชที หรือกระทั่งนมถั่วเหลือง ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการเสนอที่ประชุมเพื่อพิจารณาลงทั้งสองตลาด อย่างไรก็ตามการผลิตนมทั้งสองชนิดนี้ บริษัทมีทั้งความพร้อมทางด้านกระบวนการผลิต และการพัฒนาสินค้าซึ่งมีทีมวิจัยสินค้าทั้งสองชนิดนี้อยู่แล้ว โดยการพัฒนาสินค้าจะเน้นสร้างความแตกต่างจากสินค้าที่มีอยู่ในตลาด ทั้งนี้สาเหตุที่บริษัทสนใจในตลาดนมถั่วเหลืองและนมยูเอชที เนื่องจากเป็นตลาดใหญ่มีมูลค่ารวม 1.2 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นนมยูเอชที 6,000 ล้านบาท และนมถั่วเหลือง 5,800 ล้านบาท

จากแผนยุทธศาสตร์ของซีพี-เมจิ ทำให้บริษัทคงต้องเพิ่มทุนอีกครั้งในปีหน้าจากปัจจุบันที่มีทุนจดทะเบียน 500 ล้านบาท โดยแผนใน 3 ปีนี้ ในเบื้องต้นบริษัทจะเน้นผลักดันสินค้าหลักในเครือ คือ นมพาสเจอร์ไรส์ ซึ่งเป็นสินค้าที่มีส่วนแบ่ง 50% เป็นอันดับหนึ่งตลาด เพิ่มเป็น 60%ในสิ้นปีนี้ จากมูลค่า 2,500 ล้านบาท พร้อมกันนี้เร่งสร้างภาพพจน์ซีพี-เมจิให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น เพื่อต่อยอดไปสู่การรุกตลาดโยเกิร์ต จากปัจจุบันที่มีส่วนแบ่งตลาด 15% เป็นอันดับ3 ในตลาดโยเกิร์ต ที่มีมูลค่า 2,000 ล้านบาท โดยมีดัชมิลล์เป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง 60% คาดว่าสิ้นปีหน้าจะมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มเป็น 40%

ทั้งนี้บริษัทได้ทุ่มงบการตลาดในครึ่งปีหลัง 100 ล้านบาท ในการผลักดันทั้งสองตลาดนี้ ซึ่งถือว่าเป็นการใช้งบการตลาดมากที่สุดของซีพี-เมจิ โดยแบ่งงบอะโบฟเดอะไลน์ 70 ล้านบาท และบีโลว์เดอะไลน์ 30 ล้านบาท ในเบื้องต้นได้เพิ่มกลยุทธ์ทางการตลาด โดยอาศัยสื่อที่แมสมากขึ้นกว่าเดิมที่บริษัทเน้นการทำบีโลว์เดอะไลน์ ทั้งนี้เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้าง โดยบริษัทได้เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณา 2 เรื่อง ได้แก่ กลุ่มนมสดพาสเจอร์ไรส์ ภายใต้คอนเซปต์ สดเต็มรสชาติ” ออกอากาศวันที่ 7 ก.ค. นี้ และกลุ่มโยเกิร์ต ภายใต้คอนเซปต์”เนื้อผลไม้เต็มๆลูก”ออกอากาศวันที่ 15 ก.ค. นี้ พร้อมกันนี้ยังได้เตรียมเปิดตัวสินค้าใหม่ 14 รายการในช่วงครึ่งปีหลัง โดยจะเป็นสินค้าที่มีความแตกต่างจากคู่แข่งที่มีอยู่ในตลาด

นอกจากนี้บริษัทยังหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาช่องทางจำหน่ายในส่วนของเอเยนต์ และการขายสินค้าตรงผ่านสาวซีพี-เมจิเพิ่มขึ้นจาก 20% เป็น 40% ขณะที่ช่องทางการจัดจำหน่ายทางโมเดิร์นเทรดจะลดลงเหลือจาก 80% เป็น 60% ทั้งนี้เพราะช่องทางโมเดิร์นเทรดซีพี-เมจิสามารถครอบคลุม พื้นที่ 100% แล้ว ส่วนทางเอเย่นต์เก่า-ใหม่ยังมีจำนวนน้อยเพียง 100 ราย และมีสาวขายซีพี –เมจิ 500 คน ทั้งนี้เพื่อผลักดันให้ช่องทางดังกล่าวมีศักยภาพ จึงได้จัดตั้งโรงเรียนสอนตัวแทนขายตรงที่กระจายไปตามภาคต่างๆจำนวน 9 ส่วน อีกทั้งยังจัดในเรื่องของสวัสดิการ ค่าคอมมิชชั่น รวมทั้งการเพิ่มกลุ่มสินค้าให้มีความหลากหลายมากขึ้น นำร่องด้วยการนำไอศกรีม”เอเต้”มาจำหน่ายในปีหน้านี้ ทั้งนี้เพื่อจูงใจผู้ที่สนใจสมัครเป็นตัวแทนขาย โดยคาดว่า 3ปีข้างหน้าจะมีประมาณสาวขายซีพี-เมจิจะเพิ่มเป็น 4,000 คน


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.