"มีคำถามว่า ผมริอ่านปลดดอกเตอร์จากฮาร์วาร์ดเชียวหรือ ผมขอตอบว่านั่นคือเหตุผลที่ผมรับเขาเข้ามาทำงาน
ไม่ใช่เหตุผลในการปลด! ดอกเตอร์จากฮาร์วาร์ด ที่ดร.วุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์
กรรมการผู้จัดการของทริส เล่าให้ผังนั้นหมายถึง ดร.ศิริวรรณ ชูติกมลธรรม
ผู้กลายเป็นอดีตรองกรรมการผู้จัดการไปเสียแล้ว
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ความเก่งของดร.ศิริวรรณ ที่เข้าตากรรมการอบย่างดร.วุฒิพงษ์
ก็คือ เก่งเรียน ระดับเกียรตินิยมอันดับหนึ่งของเศรษฐศาสตร์ จุฬา ปริญญาโทเศรษศาสตร์การเกษตรจากมหาวทยาลัยมินิโชตา
และปริญญาเอกสาขาบริหารธุรกิจจากฮาร์วาร์ด 'เก่งคิด' ซึ่งดร.ศริวรรณเคยทำงานกับธนาคารดลกที่วอชิงตัน
ดี.ซี. ล่าสุดเคยทำงานแบงก์กรุงเทพและเป็นกรรมการผู้จัดการของบราทแผ่นดินทองก่อนย้ายมาทำที่ทริส
แต่พอเริ่มทำงานกันไปสักพักใหญ่ ทั้งดร.วุฒิพงษ์ และดร.ศิริวรรณ ต่างก็ตระหนักดีว่า
ลืมคิดถึงความเก่งที่สำคัญไปอีกข้อหนึ่ง นั่นคือ 'เก่งคน' ที่สามารถทำให้คนอื่นยอมรับการทำงานร่วมกันจนบรรลุเป้าหมายร่วมกันได้
แม้จะแตกต่างความคิดเห็นแต่ไม่ใช่แตกแยก
ดังนั้นเพียงระยะเวลาไม่ถึงปี น้ำผึ้งระหว่างทั้งสองดอกเตอร์ช่างขมเร็วเหลือเกิน
และแตกหักถึงขั้นเป็นกรณีพิพาทที่ดร.ศิริวรรณฟ้องเรียกค่าเสียหาย 12.8 ล้านบาท
กรณีที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมและถูกบีบคั้นให้ลาออกก่อนกำหนด 3 ปี
เป็นที่ยอมรับว่า มีความขัดแย้งเชิงบริหารระหว่างดร.วุฒิพงษ์ กับดร.ศิริวรรณจริง
ซึ่งเป้นเรื่องปกติในองค์กรที่มีวัฒนธรรมนักวิชาการเก่ง ๆ ระดับเหรียญทองซึ่งมีอัตวิสัยสูงและยึดมั่นถือมั่นมาก
ๆ เพียงแต่เวทีแห่งความขัดแย้งนี้ไม่ใช่ในมหาวิทยาลัย แต่เป็น " เวทีธุรกิจ"
เกี่ยวข้องถึง "ผลประโยชน์มหาศาส" ที่ได้รับผลกระทบจากการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของกิจการบริษัท
ปมขัดแย้งที่ทางฝ่ายดร.ศิริวรรณ กล่าวอ้างเกิดจากกรณีการจัดอันดับความน่าเชี่อถือให้กับบริษํทอสังหาริมทรัพย์รายหนึ่ง
ซึ่งคณะอนุกรรมการการทำงาน sub committee ซึ่งมีดร.เป็นหัวหน้าทีมยืนยันที่จะให้เครดิตเรตติ้งในระดับหนึ่ง
( Rating Committee) ซึ่งผู้มีคณวุฒิภายนอก นักวิเคราะห์ รวมทั้งดร.วุฒิพงษ์ด้วย
พิจารณาว่าน่าให้เครดิตที่ดีกว่านี้
"กรณีที่อ้างว่าผมสั่งให้ทบทวนการจัดอันดับของบรัทนั้น โดยข้อเท็จจริงแล้ว
การขอให้ทบทวนการจัดอันดับไม่ได้มาจากตัวผมเอง แต่เพราะบริษํทนั้นยื่นอุทธรณ์เป็นลายลักษณ์อักษรขอให้ทบทวนการจัดเรตติ้งใหม่
ซึ่งทำได้ตามขั้นตอน" ดร.วุฒิพงษ์แถลงแต่ไม่เปิดเผยชื่อบริษัท
การปะทะกันระหว่างหัวหน้าทีม 'มุ้งเล็ก' กับ 'มุ้งใหญ่' ที่ต่างยึดมั่นถือมั่นว่าตัวเองกระทำอยู่บนพื้นฐานหลักการ
และกระบวนการถูกต้องทั้งการวิเคราะห์เชิงปริมาณและคุณภาพอย่างมืออาชีพที่เยี่ยมยุทธ์
กลายเป็นชนวนแตกแยกที่ร้างลึกจนถึงวันเผด็จศึกเมื่อต่างฝ่ายต่างแถลงไขความไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรม
ข้อกล่าวหาสี่ข้อที่ดร.วุฒิพงษ์ ตอกย้ำยกเลิกสัญญาว่าจ้างดร.ศิริวรรณ ก่อนกำหนด
ตามมติคณะกรรมการสวบสวนเมื่อวันที่ 27 มีนาคม ที่ผ่านมา เพราะ ข้อแรก-ฝ่าฝืนคำสั่งของผู้บังคับบัญชา
สอง-เปิดเผยข้อมุ,ลับต่อคณะกรรมการบริษัท สาม-พฤติกรรมขัดขวางองค์กรเนื่องจากยื่นฟ้องบริษัททริสต่อศาลแรงงาน
เมื่อมกราคม 2538 เพื่อขอให้พิจารณาแต่งตั้งกลับเข้าทำงานที่เดิม คือ รองกรรมการผู้จัดการและผู้จัดการฝ่ายควบคุมงานวิเคราะห์ด้านการจัดอันดับเครดิตทั้งหมด
สี่-มีพฤติกรมไม่เหมาะสมต่อตำแหน่งหน้าที่การงาน โดยในปี 2537 ลาป่วยถึง
14 ครั้ง รวม 12.5 วัน
"ผมไม่สามารถจัดองค์กรเพื่อเอาใจคนใดคนหนึ่ง แต่ต้องจัดเพื่อเตรียมไง้รองรับการขยายตัวในอนาคต
ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงการบริหารตามปกติที่เกิดขึ้น" ดร.วุฒิพงษื
กล่าวโต้ตอบกับดร.ศิริวรรณที่อ้างถึงแรงบีบคั้นต่าง ๆ นานาเพื่อให้ลาออกจากงาน
โดยถูกลดตำแหน่งลงจากผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์การจัดอันดับเครดิตทั้งหมด มาเป็นผู้จัดการฝ่ายธุรกิจทั่วไป
และมีการแต่งตั้งคนอื่นมารับผิดชอบแทน ซึ่งดร.วุฒิพงษ์ ก็อ้างอีกว่าการตั้งผู้จัดการฝ่ายสถาบันการเงิน
เพื่อดูแลงานวิเคราะห์ตราสารหนี้ที่จะขยายตัวในอนาคต
ตลอดเวลาของงานแถลงข่าวนี้ เจ้าหน้าที่ ก.ล.ต. ได้เข้าร่วมรับฟังข้อมูลจากทั้งสองฝ่ายอย่างตั้งอกตั้งใจ
และในที่สุด ทาง ก.ล.ต.ได้เข้าร่วมรับฟังข้อมูลจากทั้งสองฝ่ายอย่างตั้งอกตั้งใจ
และในที่สุด ทางก.ต.ล. ได้ส่งจดหมายเชิญประธานกรรมการของทริส ดร.พนัส สิมะเสถียร
ซึ่งเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งที่ถูกอ้างว่าเป็นผู้รับฟังคำร้องขอความเป็นธรรมจากดร.
ศิริวรรณ จนนำไปสศู่การฝ่าฝืนกฎเหล็กของทริส ที่ห้ามนำข้อมูลจัดอันดับเครดิตเปิดเผยต่อบุคคลภายนอกที่ทำให้ดร.ศิริวรรณผิดจรรยายบรรณทันที
ขณะเดียวกันก็มีเสียงสะท้อนความวิตกกังวัลของลูกค้าที่ให้ทริสจัดอันดับความน่าเชื่อถือว่า
ผลงานของทริสได้มาตรฐานเพียงใด พร้อมทั้งเสนอให้ทางการส่งเสริมให้เกิดสถาบันจัดอันดับเครดิตเพิ่มขึ้นมากว่าหนึ่งแห่ง
เพื่อสร้างดุลยภาพและทางเลือกใหม่แก่กิจการบริษัทต่าง ๆ
บทเรียนจากปัญหาที่เกิดขึ้นครั้งนี้ จึงเป็นเรื่องใหญ่ที่ต่างคนต่างคิดว่าตัวเองถูกต้องและออกมาโต้กัน
ทำให้ปัญหามันขยายวงไปและเสื่อมเสียต่อภาพพจน์ของสถาบันจัดอันดับอย่างทริสมาก
เพราะลูกค้าจะชะงักและข้องใจว่าการจัดอันดับเครดิตของทริสน่าเชื่อถือและมีมาตรฐานเพียงใด
ก่อให้เกิดความเสียหายแก่สสถาบันอย่างทริสมาก ๆ อย่างคาดไม่ถึง แม้ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะชนะหรือแพ้ก็ตาม.