กรุงศรีฯฟุ้งงานควบรวมดันรายได้คาดEPSติดลบ9%-กำไรบจ.2.6%


ผู้จัดการรายวัน(4 กรกฎาคม 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

บล.กรุงศรีอยุธยา คาดรายได้ปีนี้ไม่หด แม้ภาวะตลาดไม่เอื้อ ฟุ้งรายได้วาณิชธนกิจดันเชื่อทั้งปีไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท พร้อมจับมือแบงก์แม่หาลูกค้าเงินฝากสูงเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นวงเงิน 1 ล้านบาทขึ้นไป ผู้บริหาร แจงปรับเป้ากำไรบจ.ปีนี้เหลือ 2.6% จากเดิม 5% ขณะที่อัตรากำไรสุทธิต่อหุ้นติดลบ 9%

ม.ร.ว.ศศิพฤนท์ จันทรทัต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์ (บล.)กรุงศรีอยุธยา จำกัด เปิดเผยว่า จากการที่ภาวะตลาดหุ้นไม่ดีส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทหลักทรัพย์ ทำให้มีรายได้ลดลง แต่บริษัทคาดว่ารายได้ปีนี้จะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา เนื่องจาก บริษัทมีรายได้ด้านวาณิชธนกิจมากขึ้นจากที่บริษัทเน้นการเป็นที่ปรึกษาทางด้านการควบรวมกิจการ (M&A) ซึ่งมีอยู่ประมาณ10 ดีล ซึ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) 4 ดีล อยู่ในธุรกิจ การเงิน อสังหาริมทรัพย์ และ ธุรกิจโรงแรม ซึ่งคาดว่าจะเห็นการควบรวมในไตรมาส 3-4 ปีนี้

ทั้งนี้บริษัทคาดว่าจะมีรายได้วาณิชธกิจปีนี้มากว่า 100 ล้านบาท จากปี48 ที่มีรายได้ 70 ล้านบาท เนื่องจากการควบรวมบริษัทขนาดใหญ่จะสรุปในครึ่งปีหลัง โดยงครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้แล้วจำนวน 40 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้รวมของบริษัทจะมาจากด้านวาณิชฯประมาณ 30% การลงทุน 20% ส่วนรายได้จากนายหน้าค้าหลักทรัพย์ปีนี้จะต่ำกว่า 50% จากปีที่ผ่านมารายได้การควบรวมกิจการอยู่ที่ 20% การลงทุน 20% และรายได้นายหน้าค้าหลักทรัพย์อยู่ที่ 60%

สำหรับปัจจุบันบริษัทได้มีการประสานกันธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)หรือ BAY ซึ่งเป็นบริษัทแม่ในการคัดเลือกลูกค้าเงินฝากจากธนาคารที่มีเงินออมสูงมาเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นในวงเงินประมาณ 1 ล้านบาทขึ้นไป โดยบริษัทจะมีเจ้าหน้าที่การตลาด(มาร์เกตติ้ง)ให้คำปรึกษา ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆในครึ่งปีหลัง จากขณะนี้เริ่มมีลูกค้าจากธนาคารบ้างแล้ว ส่วนลูกค้าที่มีวงเงินเปิดบัญชีประมาณ 3 แสนบาท โดยจะแนะนำให้ซื้อขายผ่านอินเตอร์เน็ตเป็นหลัก

ม.ร.ว.ศศิพฤนท์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้บริษัทมีลูกค้ามาเปิดบัญชีใหม่จำนวน 1,000 บัญชี ซึ่งคาดว่าจะสิ้นปีจะมีลูกค้าเข้ามาเปิดบัญชีใหม่เพิ่มเป็น 1,500 บัญชี ปัจจุบันบริษัทมีลูกค้าเปิดบัญชีรวม 20,000 บัญชี ซึ่งเป็นบัญชีที่มีการซื้อขายสม่ำเสมอประมาณ 6,000 บัญชี โดยบริษัทคาดว่าส่วนแบ่งการตลาดปีนี้จะอยู่ที่ 3%

ทั้งนี้เมื่อปลายเดือนมิ.ย.บริษัทปรับลดประมาณการณ์กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนปีนี้เหลือ 2.6% จากเดิม 5% เนื่องจากคาดกว่าบริษัทจดทะเบียนจะมีกำไรที่ลดลงจากได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงทำให้ต้นทุนการดำเนินงานที่สูง และอัตราดอกเบี้ยปรับตัวเพิ่มขึ้น และความไม่ชัดเจนในเรื่องปัจจัยทางการเมือง โดยคาดว่าอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) จะติดลบ 9%

สำหรับภาวะตลาดหุ้นในครึ่งปีหลังคาดว่าน่าจะยังไม่ดี เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจยังไม่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น จากปัจจัยทางการเมืองที่ยังไม่มีความชัดเจน โดยคาดว่ามูลค่าการซื้อขายปีนี้เฉลี่ยที่ 18,000 ล้านบาทต่อวันซึ่งเป็นไปตามความคิดเห็นของสมาคมนักวิเคราะห์ และคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้จะอยู่ที่ 614-682 จุด ซึ่งเป็นการปรับประมาณการณ์ครั้งที่ 3 จากก่อนหน้าที่เม.ย.ที่คาดว่า 675 จุด


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.