|
เลห์แมนฯดันกองทุนฯฮุบGRAND"พงษ์พันธ์"เล็งใช้เงินพันล้านขยายโปรเจกต์ใหม่
ผู้จัดการรายวัน(4 กรกฎาคม 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
กองทุนอสังหาฯในเครือเลห์แมนบราเธอร์สฮุบแกรนด์ แอสเสทฯ หลังใส่ทุนใหม่เข้ามาเพิ่มกว่า 1,200 ล้านบาท หนุนฐานะแข็งแกร่ง "พงษ์พันธ์" ชี้ด้วยศักยภาพของโครงการโรงแรมในเขตสุขุมวิท คอนโดมิเนียม รีสอร์ท พร้อมเดินหน้าขยายโครงการใหม่จากเม็ดเงินใหม่ ยันโครงสร้างองค์กรไม่ปรับเปลี่ยน
นายพงษ์พันธ์ สัมภวคุปต์ ประธานกรรมการและกรรมการ บริษัท แกรนด์ แอสเสท จำกัด (มหาชน) หรือ GRAND เปิดเผยถึงเรื่องของการขายหุ้นเพิ่มทุน 250 ล้านหุ้นว่า ในช่วงที่ผ่านมานั้นได้มีกลุ่มการเงินและกลุ่มผู้ลงทุนหลายกลุ่มเสนอเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้ และในที่สุดคณะกรรมการของบริษัทฯ ได้ตกลงขายหุ้นเพิ่มทุนโดยเฉพาะเจาะจงให้แก่บริษัทต่างชาติชื่อ Giant Mauritius Holdings ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของกลุ่มการเงินขนาดใหญ่ของโลกคือเลห์แมนบราเธอร์ส(Lehman Brothers) โดยบริษัทได้ขายหุ้นทั้งหมดจำนวน 250 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 4.85 บาท ซึ่งทำให้บริษัทได้รับเงินจากเพิ่มทุนในครั้งนี้ประมาณ 1,212 ล้านบาท สำหรับเม็ดเงินที่ได้จากการขายหุ้นในครั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้มาใช้เป็นเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนและเพื่อขยายโครงการในอนาคตของบริษัท
นายพงษ์พันธ์ กล่าวต่อว่า สำหรับเกณฑ์ของการกำหนดราคาขายนั้นจะต้องไม่ต่ำกว่า 90% ของราคาตลาดเฉลี่ยย้อนหลัง 15 วันทำการ เท่ากับบริษัทจะต้องขายหุ้นในราคาไม่ต่ำกว่า 3.81 บาท ต่อหุ้น แต่ทางบริษัทสามารถขายได้ในราคาหุ้นละ 4.85 บาท ถือได้ว่าเป็นราคาที่ค่อนข้างสูงในสถานการณ์เศรษฐกิจช่วงนี้ และเป็นผลดีมากสำหรับบริษัท
สาเหตุที่ทางกองทุนเลห์แมนบราเธอร์สเข้ามาซื้อหุ้นของบริษัท เนื่องมาจากทางกองทุนฯดังกล่าว เล็งเห็นว่าบริษัทมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง รวมทั้งบริษัทมีโครงการโรงแรมที่อยู่ในทำเลที่ดีทั้ง 5 โรงแรม ไม่ว่าจะเป็นโครงการคอนโดฯและรีสอร์ทจำนวน 4 โครงการ ซึ่งโครงการดังกล่าวการก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จ โดยมียอดขายที่ดี ดังนั้นจากปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้ทางกองทุนฯและกลุ่มผู้ลงทุนจากต่างประเทศหลายราย สนใจที่จะเข้ามาลงทุนในหุ้นของบริษัท ทั้งนี้ หลังจากที่บริษัทได้ขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ ส่งผลให้บริษัทมีทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้นเป็น 1,251 ล้านบาท จากเดิมที่มีทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 1,212 ล้านบาท
“ หลังจากการที่กองทุนเลห์แมนบราเธอร์สเข้ามาถือหุ้นของเราแล้ว ก็จะช่วยเพิ่มศักพภาพการดำเนินธุรกิจของเราได้เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขยายกิจการด้านโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงเรื่องของฐานการเงินของเราก็จะแข็งแกร่งมากขึ้น”นายพงษ์พันธ์กล่าว
สำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ จะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยทางกองทุนฯเข้ามาถือหุ้นประมาณ 49% ซึ่งถือว่าจะเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทในปัจจุบัน ส่วนผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับรองลงมา คือ นายพงษ์พันธ์ สัมภวคุปต์ จะถือหุ้นในสัดส่วนประมาณ 17% จากเดิมที่ถือหุ้นอยู่ที่ 24% และนายสุรเดช นฤหล้า
ในเรื่องของนโยบายการดำเนินธุรกิจนั้น ทางบริษัทจะไม่มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรแต่อย่างใดและนโยบายการบริหารงาน เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทก็มีโครงสร้างที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว ดังนั้น ทางบริษัทจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างแต่อย่างใด โดยตนจะดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการและกรรมการบริหาร จะยังดูแลในเรื่องของการบริหารงานทั้งหมด ส่วนตำแหน่งประธานกรรมการบริหารนั้น ทางบริษัทได้แต่งตั้งให้นายไพสิฐ แก่นจันทร์ เข้ามาดำรงแทนตนนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป
นายพงษ์พันธ์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันบริษัทมีโรงแรมอยู่ 4 โรงแรม ส่วนโครงการอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ โครงการบูลลากูน คาดว่าจะก่อแล้วเสร็จในอีก 2 เดือนข้าวหน้า ส่วนอีก 2 โครงการ คือ โครงการรีเจ้นท์ เรสซิเดนท์ ปากซอย 13 สุขุมวิท และโครงการเดอะเซลเรสซิเดนท์ ที่พัทยา คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปลายปี 2550 ขณะเดียวกันบริษัทก็ยังเป้ารายได้ปีนี้อยู่ที่ 4,400 ล้านบาท หรือมีอัตราเพิ่มขึ้นถึง 184% เมื่อเทียบกับปี 2548 ที่มีรายได้อยู่ที่ 1,696 ล้านบาท อย่างก็ดี บิรษัทเชื่อมั่นว่าจะสามารถทำรายได้ได้ตามเป้าที่ได้ตั้งเป้าไว้อย่างแน่นอน
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัทฯมีผลกำไรสุทธิหลังภาษี ลดลง 20.7 ล้านบาท จากไตรมาสที่ 1 ปี48 (ไตรมาสที่ 1 ปี49 มีกำไร 1.9 ล้านบาท, ไตรมาสที่ 1 ปี 48 กำไร 22.6 ล้านบาท) คิดเป็นอัตราการลดลง92% ขณะที่บริษัทมีรายได้รวมเพิ่มขึ้น182 % จาก 260.9 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 1 ปี 48 เพิ่มเป็น 737.1 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 1 ปี 49 โดยเป็นผลมาจาก รายได้จากการประกอบกิจการโรงแรมเพิ่มขึ้น 14 % จาก 148.0 ล้านบาทในไตรมาสที่ 1 ปี48 เพิ่มขึ้นเป็น 169.2 ล้านบาทในไตรมาสที่ 1 ปี49 เนื่องจากในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา อัตราการเข้าพักและอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อห้องสูงขึ้น และมีรายได้จากการขายบ้านพร้อมที่ดินและหน่วยในอาคารชุด เพิ่มขึ้น419% จาก 105.4 ล้านบาทในไตรมาสที่ 1 ปี48 เพิ่มขึ้นเป็น 547.3 ล้านบาทในไตรมาสที่ที่ผ่านมา
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|