”ฌี”รับอาสาพาองค์กรฝ่าวิกฤติสวมบทที่ปรึกษา-อบรมชิงเม็ดเงิน2.5หมื่นล.


ผู้จัดการรายวัน(29 มิถุนายน 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

ฌีฯสบช่องเศรษฐกิจชะลอดันธุรกิจที่ปรึกษาและจัดอบรมด้านการตลาดแจ้งเกิดและเติบโตปีละ 20% โชว์ตัวเลขยอดรายได้ช่วงต้นปีเติบโตเท่ายอดรายได้ปีที่แล้วทั้งปี แนะผู้ประกอบการครึ่งปีหลังไม่ควรเปิดตัวสินค้าใหม่ แต่ควรเน้นพัฒนาสินค้าเดิมที่มีอยู่ให้ดี คาดการณ์สิ้นปีมีลูกค้าองค์กรเพิ่มเป็น 20 ราย จากปัจจุบัน 14 ราย

นางสาวจรรย์จารี ธรรมา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฌี (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจที่ปรึกษาและจัดอบรมด้านการตลาด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดในช่วง 5 เดือนแรกที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ราคาน้ำมันปรับขึ้นราคา และความวุ่นวายทางการเมือง เป็นต้น ส่งผลให้ธุรกิจที่ปรึกษาและจัดอบรมด้านการตลาดได้รับการตอบรับดีจากลูกค้าในหลายธุรกิจ เนื่องจากลูกค้าหรือตัวบริษัทต่างมีงบประมาณที่ใช้ในจำนวนจำกัดและต้องใช้งบที่มีอยู่ให้คุ้มค่าที่สุด ดังนั้นลูกค้าจึงหันมาใช้บริการที่บริษัทฌีฯเป็นจำนวนมาก ตรงนี้จะเห็นได้จากยอดรายได้ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาของบริษัทฯพบว่ามียอดรายได้เท่ากับยอดทั้งปีเมื่อปีที่แล้ว

โดยปัจจุบันบริษัทฯมีลูกค้าที่เป็นองค์กรอยู่ประมาณ 14 ราย แบ่งเป็นลูกค้างานฝึกอมรม ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์ (มหาชน) จำกัด ,เอไอเอส, บริษัทปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) , สภาหอการค้าไทย เป็นต้น ส่วนลูกค้างานที่ปรึกษาการตลาด อาทิ ฝ่ายบริการระบบไฟฟ้า การไฟฟ้านครหลวง, มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง, บริษัท โกลด์ซิตี้ (จำหน่ายรองเท้าผ้าใบ Gold City) , คลีนิคทันตแพทย์อัศวนันท์ และ อินดาราสปา เป็นต้น

ทั้งนี้บริษัทฯคาดการณ์ว่าภายในสิ้นปีจะมีลูกค้าประมาณ 20 ราย และสิ้นปีหน้า (พ.ศ.2550) จะมีลูกค้าองค์กรประมาณ 50 ราย ซึ่งเทรนด์ของธุรกิจที่มีแนวโน้มจะต้องหันมาใช้ธุรกิจดังกล่าวนี้มองว่าจะเป็นกลุ่มเอสเอ็มอี,หน่วยงานราชการ เป็นต้น

นางสาวจรรย์จารี กล่าวด้วยว่า ภาพรวมการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งถือว่าเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของตลาด มองว่าแต่ละบริษัทไม่ควรเปิดตัวสินค้าใหม่ เพราะโอกาสแจ้งเกิดยาก ควรจะทำสินค้าที่มีอยู่ให้ดีหรือมีการปัดฝุ่นใหม่จะดีกว่า ขณะที่ภาพรวมในปีหน้าคงต้องรอดูสถานการณ์ในช่วงปลายปีก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งรัฐบาลชุดใหม่ว่าจะไปในทิศทางใด

ในส่วนของหลักสูตรของบริษัทฌีฯ จะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ กลุ่มงานด้านการตลาดแนวปฏิบัติ ซึ่งขณะนี้มีสัดส่วนยอดรายได้อยู่ 60% , ด้านการเขียนเชิงธุรกิจ และการสอนทำแผนธุรกิจ ทั้งนี้ในส่วนราคาของหลักสูตรจะเริ่มตั้งแต่ประมาณ 10,000 บาทต่อคน จนถึง 30,000 บาท ขึ้นอยู่กับความยาว และความซับซ้อนของโจทย์

“จุดเด่นของบริษัทฌีฯอยู่ที่ความแตกต่างจากบริษัทที่ปรึกษาและจัดอบรมทางด้านการตลาดอื่นๆ หรือความคิดเรื่อง “Head & Heart” Solution โดยที่ฌีฯจะมีการสอนและให้คำปรึกษาโดยยึดหลักว่า ผลของงานจะต้องสมดุลย์ทั้งด้านสมอง (เหตุผล) และด้านอารมณ์ (หัวใจ) เท่าเทียมกัน เพราะมีความเชื่อว่าสิ่งนี้ทำให้ฌีฯเป็นผู้ที่เข้าถึงผู้ที่เราต้องการได้อย่างแท้จริง”

ส่วนจุดแตกต่างของบริษัทฌีฯ กับบริษัทที่ปรึกษาและจัดอบรมอื่นๆ อาทิ เรื่องความชำนาญที่แตกต่าง ,การนำเฉพาะปัญหาหรือตัวอย่างที่เกียวข้องใช้ในการสอน และหลักสูตรของฌีฯจะมาจากการรวบรวมจุดเด่นของบริษัทต่างๆ และนำมาเรียบเรียงใหม่ให้เหมาะสมกับคนไทยและตลาดสินค้า ซึ่งฌีฯ จะไม่มีสูตรสำเร็จแต่จะใช้เป็นแนวทางการสอนเท่านั้น ก่อนเริ่มสอนจะมีการปรับอีก 20 - 40% เพื่อให้ตรงกับปัญหาจริงของกลุ่มผู้เรียน

สำหรับมูลค่าตลาดธุรกิจที่ปรึกษาและจัดฝึกอบรมในประเทศไทยมีสูงถึง 25,000 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโตปีละ 20% โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.บริษัทที่ปรึกษาวิศวกรและสิ่งแวดล้อม มีสัดส่วนคิดเป็น 27-30% ซึ่งธุรกิจกลุ่มนี้มีแนวโน้มการเติบโตลดลงเรื่อย จากภาวะเศรษฐกิจที่ส่งผลให้ดอกเบี้ยแพง 2.ธุรกิจฝึกอบรมและให้คำปรึกษาธุรกิจและการตลาด มีสัดส่วน 17-20% ซึ่งธุรกิจฌีฯจัดอยู่ในกลุ่มนี้ มองว่ากลุ่มนี้มีการเติบโตเร็วสุด

นอกจากนี้ตลาดธุรกิจที่ปรึกษาฯในแง่ยอดรายได้ แบ่งเป็น บริษัทข้ามชาติ 50% และบริษัทคนไทย 50% บริษัทฯฌีคาดหวังว่าจะมีส่วนแบ่งทางการตลาดตรงนี้ได้ประมาณ 10% ภายในระยะเวลา 12 เดือน 3. การให้คำปรึกษาด้านภาษีและบัญชี มี 7-10% และที่เหลือเป็นธุรกิจที่ปรึกษาอื่นๆ


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.