วีระเดช เตชะไพบูลย์ กรรมการบริษัทศรีนครแลนด์ จำกัด กำลังประกาศขายโครงการโอเอซิสอาคาร
1 เหมายกทั้งตึกบนถนนเพชรบุรีในราคา 400 กว่าล้านบาท
บนที่ดินติดถนนจำนวน 1 ไร่ครึ่งบริเวณแยกอโศก-เพชรบุรี ซึ่งเป็นจุดกึ่งกลางที่เชื่อมถนนสุขุมวิท
รัชดาภิเษก และพระราม 9 ไว้ด้วยกันนั้น เป็นทำเลที่วีรเดชเลือกไว้ทำโครงการที่อยู่อาศัย
โอเอซิสในนามบริษัทคริสตัลซิตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ โดยวาดแผนการไว้ว่าจะทำเป็นตึกสูง
2 ตึก ตึกแรกจะสูง 25 ชั้น ตึกที่ 2 สูง 35 ชั้น แต่ละชั้นจะมีที่อยู่อาศัยเพียง
8 ยูนิตเท่านั้น และได้เริ่มงานขายตึกหลังที่ 2 ก่อนเมื่อประมาณกลางปีที่ผ่านมาในราคาเริ่มต้นที่
1.6 ล้านบาทในขนาด 42 ตร.ม.
ในขณะที่ความคืบหน้าทางด้านการขายเดินหน้าไปกว่า 50% งานก่อสร้างจะเริ่มลงมือตอกเสาเข็มในเดือนเมษายนที่ผ่านมา
วีรเดชก็ประกาศขายตึกแรกที่อยู่ด้านหน้า โดยผ่านทางบริษัทโจนส์ แลงก์ วูธทั่น
เขาให้เหตุผลว่า
"ถ้าขายไม่ได้ก็ไม่มีปัญหาก็สร้างต่อไป ขายไม่หมดก็เอาไว้ปล่อยเช่าแต่ที่ผมประกาศขายยกตึก
ก็เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงและจะได้เงินสดหมุนเวียนเข้ามาด้วย"
วีรเดชหรือที่รู้จักกันดีว่า "เสี่ยจุ๊บ" ลูกชายคนเล็กของอุเทนไม่ใช่หนุ่มน้อยหน้าใส
อ่อนประสบการณ์ด้านพัฒนาที่ดินที่คอยเดินตามหลังพ่อ เหมือนเมื่อ 6-7 ปีก่อนเมื่อคราวจบการศึกษาและกลับมาเมืองไทยใหม่ๆ
อีกแล้ว แต่วันนั้ เขาคือทายาทของอุเทนที่ถูกวางบทบาทให้เป็นผู้ดูแลธุรกิจด้านพัฒนาที่ดินในบริษัทศรีนครแลนด์
และเป็นกรรมการในบริษัทต่างๆ ด้านพัฒนาที่ดินทั้งส่วนตัวและของบริษัทในเครืออีกประมาณ
11 บริษัท รวมทั้งยังมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายประจำสำนักประธานกรรมการธนาคารศรีนคร
จำกัด (มหาชน) อีกด้วย
การพลิกพลิ้วในเรื่องกลยุทธ์ในการทำธุรกิจจึงมีอยู่พอตัว หลายโครงการของเขาอาจจะไม่ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
แต่ก้ไม่มีโครงการไหนที่เจ็บตัวอย่างหนักหนา
"ทุกวันนี้ในเรื่องของการทำโครงการคุณพ่อไม่เคยมายุ่ง ถ้ายุ่งก็จะเป็นเรื่องใหญ่ไปเลย
หรือไม่ก็เรื่องเล็กกระจิริดไปเลย" สำหรับเรื่องที่เป็นเรื่องเล็กๆ
นั้นถูกขยายความต่อว่า เช่นเรื่องของการติดตั้งป้ายชื่อในโครงการก็จะถูกทักท้วงว่าวางตรงนั้น
ตรงนี้ ไม่สวย ย้ายไปวางตรงโน้นจะเข้าท่ากว่า อะไรอย่างนั้น
ถ้าจะดูกลยุทธ์ในการทำงานของเขาจะพบได้ว่า เขาเป็นคนหนุ่มที่ค่อนข้างระมัดระวังในการทำธุรกิจ
จะเห็นได้จากการเข้าร่วมหุ้นกับกลุ่มต่างๆ ในวงการเดียวกันเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงเป็นเรื่องที่เขาได้ทำมานานแล้วในหลายโครงการ
นับตั้งแต่เข้ามารับผิดชอบเต็มตัวในบริษัทพัฒนาที่ดิน เช่น เข้าร่วมทุนกับถนอม
อังคณะวัฒนา เพื่อนรุ่นพี่เพื่อตั้งบริษัทสาธรคอร์เปอเรชั่น ทำโครงการสินสาธรร่วมกับกลุ่มเพื่อนฝูงตั้งบริษัทภูมิทรัพย์
ทำโครงการมาสเตอร์วิว เอ็กซ์คลูซีฟ ร่วมกับกลุ่มเคว กรุ๊ป จากฮ่องกง ทำโครงการโอเอซิส
และเมื่อกลางปีที่ผ่านมาก็ร่วมกับกลุ่มเพื่อนตั้งบริษัทไบรตั้นโฮลดิ้ง เพื่อทำโครงการเกี่ยวกับเรื่องอสังหาริมทรัพย์
จากการร่วมทุนผลพวงที่ได้ตามมาก็คือ เป็นการสร้างพันธมิตรไปด้วย นอกจากนั้นวีรเดชยังให้ความสำคัญในการเข้าไปร่วมทำกิจกรรม
และเป็นกรรมการในสมาคมต่างๆ ทางด้านที่อยู่อาศัย เช่น สมาคมการค้าอาคารชุด
และสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร
ส่วนเรื่องการเข้าตลาดหลักทรัพย์นั้นวีรเดชบอกว่าศรีนครแลนด์คงไม่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้
เขามีความเห็นว่าเจ้าของกิจการที่ยอมผันตัวเองเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์นั้นมีอยู่
2 เหตุผลใหญ่ๆ คือ 1. ต้องการโตและขยายกิจการอย่างรวดเร็ว 2. ต้องยอมให้ผู้ถือหุ้นรายอื่นวิจารณ์การทำงานของตนได้เต็มที่
เพราะเป็นบริษัทที่เป็นของมหาชนแล้ว
"สำหรับผมไม่ต้องการที่จะขยายงานมากกว่านี้ มูลค่าการลงทุนที่ทำอยู่ปีหนึ่งไม่กี่พันล้านบาทยอดขายประมาณ
600-700 ล้านบาท ผมก็พอใจแล้ว และการยอมให้คนอื่นซึ่งไม่ได้เข้ามาทำงานมาชี้หน้าว่าก็คงยอมรับยากนอกจากเป็นคนในครอบครัวเราเท่านั้น"
ก็นับว่าความคิดของเขาแตกต่างจากคนอื่นในตระกูล เพราะไม่ว่าโครงการเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์
ที่วิรุฬ เตชะไพบูลย์ รับผิดชอบ หรือโครงการนิคมอุตสาหกรรมบางปู ที่พี่เขยรับผิดชอบต่างกำลังเตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ทั้งสิ้น
ทุกวันนี้วีรเดชกำลังมีโครงการที่รับผิดชอบอยู่ในมือหลายโครงการนอกเหนือจากโอเอซิส
เช่น โครงการศรีราชานคร โครงการแฮมป์ตันเพลส ในซอยลาดพร้าว 126 โครงการไบรตั้นเพลสในซอยศูนย์วิจัย
เขาบอกว่าปีนี้เขาคงไม่พัฒนาโครงการอื่น นอกจากนี้เพราะภาวะการแข่งขันรุนแรงเหลือเกิน
การหันมาพัฒนาองค์กรข้างในในเรื่องประสิทธิภาพของงาน และต้นทุนเป็นสิ่งที่ควรทำมากกว่าสร้างโครงการแล้วขายไม่ออก