หมื่นล้านใน 7 ปี : เรื่องท้าทายของ อภิรักษ์ โกษะโยธิน


นิตยสารผู้จัดการ( มิถุนายน 2538)



กลับสู่หน้าหลัก

หลังจากเตรียมการในด้านต่างๆ มานานกว่า 5 เดือน บริษัทเป๊ปซี่ โค ฟูดส์ ประเทศไทย จำกัด ภายใต้การบริหารงานของอภิรักษ์ โกษะโยธิน กรรมการผู้จัดการ ก็เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อเดินหน้ารุกตลาดขนมขบเคี้ยวเมืองไทย ด้วยเป้าหมายที่ท้าทายตัวเองยิ่งนัก

เป๊ปซี่ โค ฟูดส์ ประเทศไทย เป็นสาขาของเป๊ปซี่ โค ฟูดส์ อินเตอร์เนชั่นแนล บริษัทในเครือที่ทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลผลิตภัณฑ์ขนมเคี้ยวของบริษัท เปีปซี่ โค อิงค์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตสินค้าอาหาร และเครื่องดื่มที่มียอดขาย ในปี 2537 มากกว่า 725,000 ล้านบาท

รายได้ของเป๊ปซี่ โค อิงค์ มาจากธุรกิจหลัก 3 ประเภท คือ เครื่องดื่ม ขนมขบเคี้ยว และร้านอาหารประเภทฟาสต์ฟูด แต่ในประเทศไทยแล้วรายได้ของเป๊ปซี่มาจาก 2 ธุรกิจเท่านั้น คือ ธุรกิจเครื่องดื่ม ที่อยู่ภายใต้การดูแลของเป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด และธุรกิจฟาสต์ฟูด ที่คนไทยรู้จักกันดีอย่างร้านไก่ทอด "เคเอฟซี " และ "พิซซ่าฮัท"

ส่วนธุรกิจขนมขบเคี้ยวนั้นพูดได้เต็มปากว่าเป๊ปซี่ยังไม่ประสบความสำเร็จในธุรกิจด้านนี้ แม้ว่าบริษัทเป๊ปซี่ โค อิงค์ จะเข้ามาร่วมทุนกับบริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) เพื่อตั้งโรงงานผลิตขนมขบเคี้ยวในประเทศไทยในนามบริษัทสยามสแน็ค จำกัด ด้วยสัดส่วนการถือหุ้น 49% และ 51% ตามลำดับ เป็นเวลาเกือบ 10 ปีแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งขนมขบเคี้ยวที่ผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าของเป๊ปซี่เอง คือ มันฝรั่งทอดกรอบตรา "เลย์" และข้าวโพดทอดกรอบตรา "ชีโตส" ไม่สามารถประสบความสำเร็จได้เทียบเท่ากับสินค้าที่พันธมิตรธุรกิจของเป๊ปซี่ โค อิงค์ ผลิตขึ้นมาจำหน่ายในชื่อ "ปาร์ตี้"

ว่ากันว่านี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่เป๊ปซี่ โค อิงค์ อินเตอร์เนชั่นแนล ตัดสินใจเข้ามาตั้งบริษัท เป๊ปซี่ โค ฟูดส์ ประเทศไทย เพื่อเป็นแขนขาในการทำตลาดขนมขบเคี้ยวเองในช่วงเวลาที่ตลาดกำลังมีศักยภาพในการเติบโต และมีการแข่งขันอย่างเข้มข้น

นายราเมซ แวนเกิล ประธานกรรมการ บริษัท เป๊ปซี่ โค ฟูดส์ อินเตอร์เนชั่นแนล ประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งเดินทางมาร่วมงานเปิดตัวบริษัทอย่างเป็นทางการกล่าวว่า เป๊ปซี่ โค ฟูดส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เล็งเห็นถึงศักยภาพในการขยายตัวที่สูงของตลาดขนมขบเคี้ยวในประเทศไทย ผนวกกับความสำเร็จอย่างสูงของเครื่องดื่มเป๊ปซี่ รวมทั้งเคเอฟซีและพิซซ่าฮัท จึงมั่นใจว่าธุรกิจขนมขบเคี้ยวของบริษัทในเมืองไทยจะสามารถเจริญรุดหน้าด้วยดี

"ผมขอถือโอกาสนี้แนะนำคุณอภิรักษ์ โกษะโยธิน กรรมการผู้จัดการของเป๊ปซี่ โค ฟูดส์ ประเทศไทย ซึ่งเคยดูแลการตลาดให้กับเป๊ปซี่ โค ฟูดส์ ประเทศไทย ซึ่งเคยดูแลการตลาดให้กับเป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้งมาก่อน ผลงานของเขาทำให้บริษัทภาคภูมิใจที่จะแต่งตั้งเขาเป็นผู้นำ ซึ่งนอกจากการรุกตลาดในประเทศไทย คุณอภิรักษ์นี่แหละที่จะทำหน้าที่นำขนมขบเคี้ยวของเป๊ปซี่ โค ฟูดส์ เข้าสู่ตลาดอินโดจีน เช่นเดียวกับที่เคยทำให้เครื่องดื่มเป๊ปซี่มาแล้ว"

อภิรักษ์ดูจะเหมาะสมกับการเป็นผู้นำของเป๊ปซี่ โค ฟูดส์ ประเทศไทย อยู่มากดูได้จากประวัติการศึกษาและประสบการณ์ในการทำงานของเขา กล่าวคือ อภิรักษ์จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วิชาเอกวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร จบเอ็มบีเอจากนิด้า และได้ผ่านหลักสูตร Strategic Marketing Planning Program จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน

ด้านการทำงานเขาเริ่มต้นที่บริษัท พิซซ่าฮัท (ไทย) จำกัด ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการ เป็นระยะเวลา 1 ปี จึงย้ายไปอยู่กับลินตาส เวิลด์ไวด์ จำกัด เริ่มจากตำแหน่ง Management Trainee ก่อนจะไป ตำแหน่ง Account Manager เพื่อไปนั่งเป็น Accoumt Director ที่ดามาสก์ แอดเวอร์ไทซิ่ง อยู่ 2 ปี

เขาก้าวสู่วงการน้ำอัดลมเมื่อปี 2533 เริ่มต้นจากการเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดดูแลผลิตภัณฑ์น้ำสีที่บริษัทเปีปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง ก่อนขึ้นเป็นผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด ดูแลภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตามลำดับ จนกระทั่งเดือนธันวาคม 2537 ที่ผ่านมา เขาจึงได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัด บริษัท เป๊ปซี่ โค ฟูดส์ ประเทศไทย จำกัด

แม้ว่าคุณสมบัติและความสามารถของเขาจะเพียบพร้อม แต่รับรองได้ว่าอภิรักษ์ต้องเหนื่อยแน่ๆ กับการสร้างผลงานให้เป็นที่พอใจของบริษัทแม่ เพราะดูเหมือนว่าเป๊ปซี่ โค ฟูดส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จะตั้งความหวังกับประเทศไทยไว้มาก

ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายการขยายตลาดให้ใหญ่โตเทียบเท่ากับตลาดน้ำอัดลม โดยตั้งเป้าการขายในประเทศ และส่งออกไว้สูงถึง 10,000 ล้านบาท ในระยะเวลา 7-10 ปีข้างหน้า โดยต้องเริ่มต้นจากยอดขายประมาณ 300 ล้านบาทในปี 2528

เพราะบริษัทแม่ต้องการให้ประเทศไทยเป็นประเทศตัวอย่างในการสร้างตลาดให้กับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ ไม่ว่าจะเป็นจีน หรืออินเดีย

ปัจจุบันตลาดขนมขบเคี้ยวในประเทศไทยมีมูลค่า 4,500 ล้าน ซึ่งยังห่างไกลจากตลาดเครื่องดื่มมาก ผิดกับสหรัฐอเมริกาที่ 2 ตลาดมีขนาดใกล้เคียงกัน แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ อัตราการเติบโตของตลาดสูงถึงปีละ 35% ทั้งๆ ที่ไม่มีการกระตุ้นอย่างจริงจังและเป็นระบบ

"เราต้องการทำให้ขนมขบเคี้ยวเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผู้บริโภคคนไทย โดยวางแผนที่จะเข้าไปเจาะผู้บริโภคทุกกลุ่มไม่ว่าจะเป็น เด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ แม้กระทั่งคนสูงอายุ ด้วยสินค้าที่เหมาะสม" อภิรักษ์กล่าวถึงแผนการตลาดซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งในการสร้างตลาด นอกเหนือจากเรื่องเทคโนโลยีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการวางระบบการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่ง

โดยในส่วนของเทคโนโลยีการพัฒนาผลิตภัณฑ์นั้น เป๊ปซี่ โค ฟูดส์ มีศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีขนาดใหญ่อยู่ที่สหรัฐอเมริกาซึ่งหล่อเลี้ยงด้วยเงินปีละ 5,000-7,500 ล้านบาทเป็นฐานในการพัฒนาหลักอยู่แล้ว รวมทั้งยังมีศูนย์วิจัยและพัฒนาย่อยๆ ในแต่ละประเทศ ที่จะนำเทคโนโลยีจากบริษัทแม่มาปรับใช้อีกด้วย สำหรับระบบการจัดจำหน่ายนั้นยังนับว่าอยู่ในระยะเริ่มต้น เพราะเปีปซี่ โค ฟูดส์ ประเทศไทย เพิ่งโอนเลย์และชีโตสจากบริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ มาจัดจำหน่ายเอง เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา ด้วยการจัดตั้งทีมขายขึ้นมา 2 ทีม คือ ทีมโมเดิร์น เทรด และทีมโฮลเซลส์ เริ่มจากพนักงานขาย 40 คน แต่ก็เชื่อว่าเงินลงทุนไม่ต่ำกว่าปีละ 200 ล้านบาท ในช่วง 5 ปีข้างหน้า จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ได้ไม่ยาก

ส่วนแผนการบุกตลาดอินโดจีนนั้น ขณะนี้ได้มีการส่งทีมเข้าไปสำรวจตลาดในประเทศเวียดนามแล้ว คาดว่าภายในปลายปี 2538 หรือต้นปี 2539 ก็จะเริ่มส่งสินค้าเข้าไปทำตลาดได้

แม้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกจัดเตรียมไว้อย่างพร้อมสรรพ แต่ก็มีให้เห็นอยู่บ่อยที่ผู้ประกอบการท้องถิ่นทำให้ยักษ์ใหญ่ต้องเจ็บตัว ซึ่ง "อภิรักษ์" คงไม่ต้องการสร้างตำนานบทนี้ให้แก่เป๊ปซี่ โค ฟูดส์



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.