|
เอ็มซีเอสสตีลเล็งซื้อหุ้นHuayinตั้งเป้าปีนี้โกยรายได้2.7พันล้าน
ผู้จัดการรายวัน(23 มิถุนายน 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
เอ็ม.ซี.เอส.สตีล เล็งซื้อหุ้นHuayin คาดสรุปสิ้นปีนี้ หลังจากเซ็ญสัญญาเป็นพันธมิตรธุรกิจ เสริมศักยภาพรับงานขนาดใหญ่–บุกตลาดจีน ญี่ปุ่น ตะวันออกกลาง ประเดิมงานแรกที่ประเทศจีน สิ้นปีนี้ผู้บริหาร ฟุ้ง ปี 50 รายได้โต10-15%จากปี 49 ที่มีรายได้ 2,700 ล้านบาท กำไรสุทธิ 310 ล้านบาทจากงานในมือเพียบ
นายไนยวน ชิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็ม.ซี.เอส.สตีล จำกัด(มหาชน)หรือMCS เปิดเผยภายหลังการ เซ็นสัญญาร่วมเป็นพันธมิตรทางการค้า กับบริษัท Huayin Steel Structure Engineering (China)Co.Ltd ว่า บริษัทและ Huayin มีแผนที่จะมีการถือหุ้นซึ่งกันและกันโดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาราคาและจำนวนหุ้นที่จะเข้าไปซื้อ คาดว่าจะสรุปได้ภายสิ้นปีนี้ และจะมีการส่งแทนเข้าไปเป็นกรรมการ ส่วน Huayinจะเข้ามาซื้อหุ้น MCS ได้โดยผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
สำหรับการเป็นพันธมิตรกันครั้งนี้ทำให้มีกำลังการผลิตรวมทั้ง2 บริษัท เพิ่มเป็น 150,000 ตันต่อปี และหากรวมพันธมิตรใหม่ในประเทศไทยที่กำลังเจรจาอยู่จะมีกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 200,000 ตันต่อปี ส่งผลให้สามารถรับงานโครงการใหญ่ระดับ 100,000 ตันได้ และสามารถขยายตลาดขนาดใหญ่ในประเทศจีน ญี่ปุ่น และเอเชียอาคเนย์ ตะวันออกกลาง ฯลฯทำให้สามารถมีอำนาจในการต่อรองการซื้อวัตถุดิบเพราะซื้อจำนวนมาก
รวมถึงยังเป็นการแลกเปลี่ยนทางเทคนิค จะทำให้ได้ขยายตลาดอาคารสูงในประเทศจีนและได้ขยายตลาดโครงสร้างเหล็กแบบเบา ที่ญี่ปุ่น และไทย จากที่ Huayin มีจุดแข็งด้านการเป็นผู้ผลิตโครงสร้างเหล็กแบบเบารายใหญ่ติด 1 ใน 3 ประเทศจีน และมีความสามารถด้านการออกแบบซึ่งได้รับรางวัลด้านการออกแบบโครงสร้างเหล็กหลายครั้ง
นายไนยวน ชิ กล่าวว่า สำหรับงานแรกที่จะดำเนินการร่วมกันคืองานโครงสร้างเหล็กหนักในประเทศจีน ซึ่งมูลค่ายังไม่สามารถบอกได้ รวมถึงบริษัทอยู่ระหว่างการประมูลที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นงานพิพิธภัณฑ์ ที่มีความต้องการใช้เหล็กโครงสร้างหนัก จำนน 3,000–4,000 ตัน ซึ่งคาดว่าจะทราบผลก่อนเดือนตุลาคมนี้
ขณะนี้บริษัทมีงานในมือเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้มั่นใจว่าปี 2550 จะมีรายได้เพิ่มขึ้น 10 –15% ทุกปี ซึ่งคาดว่าปีนี้บริษัทจะมีรายได้ จำนวน 2,700 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 310 ล้านบาท จากปี 2548 ที่มีรายได้รวม 2,356.30 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 281.81 ล้านบาท เนื่องจากเป็นการรับรู้จากงานในมือที่บริษัทมีการรับงานล่วงหน้าจากลูกค้า 6 เดือนและรับรู้รายได้จากบริษัทร่วมทุน ส่วนรายได้ในไตรมาส2/49 ก็คาดว่าจะเพิ่มขึ้นกว่าไตรมาส1/49 ที่มีรายได้รวม 746.83 มีกำไรสุทธิ 91.54 ล้านบาท
ทั้งนี้จากการที่ราคาน้ำมันมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นก็ส่งผลกระทบต่อบริษัท เรื่องต้นทุนที่เพิ่มขึ้นด้านค่าขนส่ง แต่บริษัทก็ได้มีการปรับราคาขายสินค้าเพิ่มขึ้นเช่นกัน ดังนั้นผลกระทบดังกล่าวจึงเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น ส่วนค่าเงินบาทนั้นมีผลกระทบต่อบริษัทจากที่บริษัทมีการส่งสินค้าออกไปขายต่างประเทศมีการรับเงินเป็นสกุลเยน
สำหรับปีที่ผ่านมากได้คาดว่าอัตราแลกเปลี่ยนจะอยู่ที่ 35 บาทต่อ 100 เยน ซึ่งในส่วนนี้ก็ทำได้มากกว่าทุกครั้ง ในปี 2549 บริษัทตั้งไว้จะอยู่ที่ 34 บาทต่อ 100 เยนซึ่งต้นปีที่ผ่านมาบริษัทไม่สามารถแลกเปลี่ยนในอัตราดังกล่าวได้ ตามที่ตั้งเป้าไว้แต่บริษัทเชื่อว่าภาวะแบบนี้จะเป็นช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น เพราะรัฐบาลคงจะเข้าจัดการเกี่ยวกับค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นในไม่ช้านี้ ไม่เช่นนั้นการส่งออกทั้งหมดจะไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|