|
ธปท.เตือนภาคธุรกิจระวังกำไรหดบริษัทกู้เงินต่างชาติดูแลดบ.-ค่าเงิน
ผู้จัดการรายวัน(19 มิถุนายน 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
จากภาวะอัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงขึ้น มีผลกดดันให้ต้นทุนในการดำเนินงานของบริษัทต่างๆ ในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น แบงก์ชาติเตือนบริษัทที่ต้องพึ่งพาการกู้ยืมเงินเป็นจำนวนมากในการดำเนินธุรกิจต้องระวัง ขณะที่บริษัทขนาดใหญ่ที่กู้เงินจากต่างประเทศต้องคอยดูแลต้นทุนที่อาจจะเกิดจากอัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยนที่มีการผันผวนในขณะนี้เพิ่มขึ้นด้วย
นางธาริษา วัฒนเกส รองผู้ว่า ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า จากการที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น และปัจจัยราคาน้ำมันที่มีผลกดดันให้อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวสูงขึ้น ซึ่งปัจจัยต่างๆ เหล่านี้อาจมีผลกระทบต่อต้นทุนในการดำเนินงาน จนทำให้กำไรของบริษัทต่างๆ ที่ดำเนินกิจการในระบบเศรษฐกิจอาจได้รับผลกระทบดังกล่าวได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่มีการดำเนินธุรกิจ ซึ่งต้องพึ่งพาการกู้ยืมเงินเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ บริษัทที่ต้องจับตาดูเป็นพิเศษ คือ บริษัทขนาดใหญ่ที่ต้องกู้เงินจากต่างประเทศมาดำเนินธุรกิจเป็นจำนวนมาก อาจจะได้รับผลกระทบด้านต้นทุนจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นแล้ว ยังมีปัจจัยเสี่ยงการความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนในตลาดโลกที่สูงในขณะนี้ และอาจจะมีผลต่อการทำกำไรและการดำเนินงานของบริษัทเหล่านี้ในระยะต่อไปได้
“แต่ละบริษัทที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจจะมีต้นทุนแตกต่างกันไป ซึ่งบางบริษัทก็มีการระดมทุนจากตลาดหลักทรัพย์ อาจลดปัญหาต้นทุนเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยไปได้บางส่วน แต่การที่อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นก็จะทำให้ประชาชนชะลอการใช้จ่ายและอาจจะทำให้ผลประกอบการบริษัทต่างๆในปีนี้อาจจะลดลงก็ได้”
ทั้งนี้ จากข้อมูลของธปท.ได้รายงานเศรษฐกิจและการเงินประจำเดือนเมษายนที่ผ่านมา พบว่า หนี้ต่างประเทศโดยรวมล่าสุด ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2549 มียอดคงค้าง 56.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าอยู่ที่ 53.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 3.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากการนำเข้าหนี้ของภาคธนาคารเป็นสำคัญ ขณะที่โครงสร้างหนี้ต่างประเทศก็มีสัดส่วนหนี้ระยะสั้นคิดเป็น 32.8%ของหนี้ต่างประเทศทั้งหมด ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 29.5 ในเดือนก่อน
โดยหนี้รัฐบาลมียอดคงค้าง 4.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐค่อนข้างทรงตัวจากเดือนก่อน แม้ว่ารัฐบาลจะมีการไถ่ถอนตราสารหนี้ระยะยาวที่ครบกำหนด(Japanese Yen Bond Fifteen-series)ในเดือนนี้ก็ตาม และหนี้ภาคธนาคารมียอดคงค้าง 8.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนจำนวน 2.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากสาขาธนาคารพาณิชย์ญี่ปุ่นนำเข้าหนี้ระยะสั้นเพื่อปิดงวดบัญชีเป็นสำคัญ ขณะที่กิจการวิเทศธนกิจชำระคืนเงินกู้สุทธิเพียงเล็กน้อย จึงทำให้ยอดคงค้างทรงตัวจากเดือนก่อน
สำหรับหนี้ภาคอื่นๆ มียอดคงค้าง 43.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขั้นจากเดือนก่อนจำนวน 0.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นผลจากการนำเข้าเงินกู้โดยตรงของบริษัทเอกชนบางกลุ่มและการนำเข้าสินเชื่อการค้าของธุรกิจน้ำมัน ส่วนรัฐวิสาหกิจมีการชำระคืนหนี้สุทธิจำนวน 0.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|