|
TKTคาดผลงานQ2หดชี้ต้นทุนพุ่งมั่นใจปีนี้ยังเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า20%
ผู้จัดการรายวัน(19 มิถุนายน 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
tkt คาดไตรมาส 2 ปีนี้ต่ำกว่าไตรมาสสองของปี 48 เนื่องจากราคาวัตถุดิบที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมหันไปลดต้นทุนการผลิตให้ต่ำลง และรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนไม่เกิน 1 เท่า ขณะที่การร่วมมือกับญี่ปุ่นหวังผลิตสินค้า OEM เพิ่มยอดขายจะเซ็น MOU เดือนนี้ มั่นใจปีนี้ไม่ปรับผลงานที่ตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ไม่ต่ำกว่า 20%
นายจุมพล เตชะไกรศรี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ที.กรุงไทยอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน)( TKT) เปิดเผยว่าผลการดำเนินงานไตรมาสสองปีนี้ น่าจะไม่ต่างจากไตรมาสแรกนัก และหากเทียบกับปี 48 น่าจะต่ำกว่าไตรมาสสองของปีดังกล่าว เนื่องจากราคาวัตถุดิบพลาสติกที่ปรับราคาขึ้นอย่างต่อเนื่องตามราคาน้ำมัน แต่ก็น่าจะเป็นในระยะไม่เกิน 6 เดือน เพราะบริษัทคงอยู่ในภาวะปรับตัวได้
“ เราทยอยปรับราคาได้ หากราคาวัตถุดิบยังคงพุ่งไม่หยุด เพราะที่ผ่านมาเราก็ต้องทำอย่างนั้น แต่เราคงต้องหันมาลดต้นทุนการผลิตตลอดจนการดำเนินงานที่ต้องเข้มงวดมากขึ้น เราต้องให้พนักงานตระหนักถึงการทำงาน ให้ทุกคนหันมาช่วยกันลดต้นทุนให้ต่ำลง ” นายจุมพลกล่าว
อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานไตรมาสสองของบริษัทปีนี้ไม่ดีเท่ากับไตรมาสสองของปี48 และน่าจะใกล้เคียงกับไตรมาสแรกปีนี้ด้วย และในระหว่างนี้ TKT จะหันไปเน้นการลดต้นทุนการผลิตให้ต่ำลง เพื่อให้ผลกระทบที่เกิดจากราคาวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้นนั้นลดลงได้ โดยตัวเลขค่าใช้จ่ายและต้นทุนขายของบริษัทฯ ในไตรมาสแรกของปี 49 เท่ากับ 182.42 ล้านบาท คิดเป็น 83.27%ของรายได้รวม และสูงกว่างวดเดียวกันของปี 48 ด้วย เทียบกับระยะเวลาเดียวกันของปี 2548
นายจุมพลกล่าวต่อว่าผลการดำเนินงานปีนี้ TKT ยังจะไม่ปรับลด เพราะเชื่อว่าครึ่งปีหลังบริษัทยังจะสามารถทำยอดขายได้เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผลงานโตตามเป้าหมายที่ตั้งไว้คือไม่ต่ำกว่า 20% ขณะที่โรงงานสร้าง โดยปัจจัยการเติบโตของยอดขายปัจจุบัน ยอดขายใหม่จากการออกรถรุ่นใหม่ของลูกค้า และยอดขายจากลูกค้าใหม่
นอกจากนี้ โรงงานผลิตแม่พิมพ์แห่งใหม่ของ TKT ที่เริ่มต้นเดินเครื่องผลิตและค่อนข้างไปด้วยดีตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว และปีนี้บริษัทจะรับรู้รายได้เข้ามาเต็มปีคาดว่าจะเป็นเงินประมาณ 70 ล้านบาท ขณะที่ปี 48 รับรู้เพียง 30 ล้านบาท ซึ่งผลิตเพียงแค่ช่วงปลายปีเท่านั้น อีกทั้งการยกระดับเป็นผู้ให้บริการผลิตชิ้นส่วนแบบครบวงจรที่ร่วมมือกับญี่ปุ่นก็จะเกิดขึ้นปีนี้ด้วย ดังนั้น จากปัจจัยที่เกื้อหนุนเหล่านี้ น่าจะทำให้บริษัทสามารถเติบโตได้ต่อเนื่องเหมือนที่ผ่านมา
“แต่ตัวเลขกรอสมาร์จิ้นของเรายังไม่เข้าเป้า เพราะขณะนี้เรายังทำถึง 20% ไม่ได้ จากผลงานไตรมาสแรกที่ผ่านมา แต่เราก็ต้องพยายามต่อไป ต้องเน้นการลดต้นทุนของเราให้ได้ ส่วนการร่วมมือกับญี่ปุ่นยกระดับเป็นผู้ให้บริการผลิตชิ้นส่วนแบบครบวงจร จะเซ็น MOU กันมิถุนายนนี้ ซึ่งเราจะได้รับเทคโนโลยีการออกแบบและผลิตแม่พิมพ์ ตลอดจนการพัฒนาผลิตภัณฑ์และพัฒนาทักษะความสามารถของบุคลากร ซึ่งจะดันให้ TKT สามารถผลิตสินค้า OEM เพิ่มยอดขาย" นายจุมพลกล่าว
นายจุมพลกล่าวถึงค่าเงินบาทที่แข็งค่าและอัตราดอกเบี้ยที่ปรับสูงขึ้นจากก่อนหน้านี้ ว่าไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทในระยะอันสั้นนี้ โดยตรงอาจส่งผลน้อยแต่จะเกิดทางอ้อม เพราะลูกค้าของบริษัทที่ซื้อสินค้า ก็เพื่อขายให้กับลูกค้าอีกต่อหนึ่ง ซึ่งเมื่อส่งออกไปจะมีปัญหาเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน โดยบริษัทจะหันไปใช้เงินทุนหมุนเวียนแทนการกู้ยืม โดยบริษัทจะรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน ( D/E RATIO) ไม่เกิน 1 เท่า ซึ่งขณะนี้อยู่ที่ระดับ 0.85 เท่า
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาสแรกปีนี้พบว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 5.63 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 13.06 ล้านบาท ส่งผลให้กำไรต่อหุ้นลดลงจาก 6 สตางค์ต่อหุ้นเหลือ 3 สตางค์ต่อหุ้น
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|